ผู้คนหลายร้อยชีวิตทุกข์ตรมอยู่ในการรอคอยอันเจ็บปวดว่าจะได้พบบุคคลผู้เป็นที่รักของพวกเขาหรือไม่ภายใต้ซากปรักหักพังเป็นกองพะเนินของกลุ่มอาคารคอนโดมิเนียมสูง 12 ชั้นนามว่า แชมเพลน ทาวเวอร์ส เซาท์ ซึ่งประสบเหตุตึกฝั่งตะวันออกถล่มลงมาซีกหนึ่ง กับตึกฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือถล่มหมดสิ้น กลายเป็นกองคอนกรีตและเส้นเหล็กที่ป่นปี้บนพื้นและทับเทินขึ้นไปสูงสุดประมาณ 5 เมตร โดยโศกนาฏกรรมนี้อุบัติเมื่อประมาณตีหนึ่งสิบห้านาทีของวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2021 ณ ชายฝั่งมหาสมุทรเมืองเซิร์ฟไซด์ ของไมอามีเดด เคาน์ตี ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
นับถึงวันอังคารที่ผ่านมา (29 มิ.ย.) สามารถพบร่างผู้เสียชีวิตได้เพียง 16 ราย และมีผู้สูญหายราว 147 รายซึ่งอยู่ในห้องชุด 55 ห้องชุดที่ถล่มลงมาพร้อมกับตัวตึก โดยตึกฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นตึกตรงกลางถล่มก่อน แล้วตึกตะวันออกเฉียงเหนือจึงถล่มตามกันทันที ทั้งหมดใช้เวลา 30-40 วินาทีเท่านั้น
ชะตากรรมที่น่าหวาดเสียวอย่างที่สุดคือกรณีของน้องโจนาห์ แฮนด์เลอร์ เด็กชายชั้นมัธยม รอดจากเงื้อมมือมัจจุราชได้ ทั้งที่อยู่ในห้องนอนซึ่งร่วงลงจากชั้น 10 มาคาอยู่บนกองคอนกรีตในส่วนลาดที่ไม่สูงจากพื้นดินนัก โดยอยู่ในลักษณะเป็นช่องขนาดใหญ่อันประกอบด้วยเพดานห้อง พื้นห้องและกำแพงห้องแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักของคอนกรีตจำนวนไม่มากนักที่ทับถมอยู่ด้านบนได้ ทีมกู้ภัยช่วยกันเคลียร์ซากคอนกรีตแม้ตะวันยังไม่ส่องแสง และส่องไฟเข้าไปอุ้มน้องออกมาจากเตียงนอนในสภาพบอบช้ำ
ในเวลาเดียวกัน มีอีก 34 คนที่ทีมกู้ภัยช่วยเหลือพาออกมา โดยส่วนหนึ่งติดในตึกที่ไม่ถล่มเพราะทางเดินบนฟลอร์ถูกเศษซากหินและปูนสาดซัดเข้าไปปิดช่องทาง และมีบางคนติดในตึกซึ่งถล่มบางส่วนโดยติดอยู่ในซีกตึกที่ยังตั้งมั่น แต่ก็เสียหายรุนแรง กล่าวคือ กำแพงของห้องถูกฉีกออกไปทั้งบานโดยติดไปกับส่วนของตึกที่ถล่ม ทำให้เห็นเหล็กเส้นระโยงระยางกับส่วนของแผงคอนกรีตที่ฉีกแต่มีเหล็กเส้นยึดไว้จึงไม่ได้ร่วงลงไป ในการนี้ บางคนได้รับการช่วยชีวิตโดยทีมกู้ภัยใช้กระเช้าบันไดของรถดับเพลิงขึ้นไปรับออกมาจากระเบียง
หนุ่มน้อยโจนาห์พ้นเงื้อมมือมัจจุราช แต่คุณแม่สเตซีย์ทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นิโคลัส บาลบัว เป็นคนแรกที่เข้าไปช่วยน้องโจนาห์ แฮนด์เลอร์ นักเรียนชั้นมัธยมวัยเพียง 15 ปี นิโคลัสบอกยูเอสเอ ทูเดย์ว่าขณะพาสุนัขเดินออกกำลังกายหลังเที่ยงคืน ได้เห็นอาคารแชมเพลนถล่มดังสะเทือนกึกก้อง เมื่อการถล่มทลายยุติ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยยังมาไม่ถึง เขาวิ่งเข้าไปดูกองปรักหักพังของซากอาคารและก้าวไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ บนกองคอนกรีตแตกหักสูงเหล่านั้น ในจังหวะหนึ่งเขาได้ยินเสียงร้องตะโกน จึงตรงเข้าไปยังต้นเสียง และเห็นนิ้วมือโผล่ออกจากช่องโหว่ของกองคอนกรีต อีกทั้งได้ยินเสียงเด็กร้องถามว่า มีใครเห็นผมมั้ยฮะ
สภาพของก้อนคอนกรีตก้อนปูนหักพังที่กีดขวางเต็มไปหมดทำให้นิโคลัสไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ ขณะที่โจนาห์คอยพูดย้ำว่า “อย่าทิ้งผมไป ได้โปรดอย่าทิ้งผม” เขาจึงให้กำลังใจว่าไม่ต้องกลัว เราไม่ไปไหน เราจะอยู่ตรงนี้
เมื่อหน่วยกู้ภัยมาถึง นิโคลัสกะพริบแสงไฟฉายของโทรศัพท์มือถือ ส่งสัญญาณให้หน่วยกู้ภัยสังเกตเห็นและเข้ามาช่วยเด็กน้อยออกจากช่องปาฏิหาริย์ของซากปรักหักพังได้
น้องโจนาห์ นักเรียนชั้นมัธยม มีความกล้าหาญและนิ่งสงบตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปช่วย แต่น้องมีสีหน้าเจ็บปวดให้เห็นในบางจังหวะที่เจ้าหน้าที่อุ้มขึ้นบ่าออกจากซากตึก และในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่วางน้องบนเปลสนามและใช้แถบนิรภัยล็อกร่างกายน้องเพื่อความปลอดภัยยามเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาล
ด้านคุณแม่สเตซี ฟาง วัย 54 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บรุนแรง ได้เสียชีวิตหลังจากไปถึงโรงพยาบาลอาเวนทูรา เมดดิเคิล เซนเตอร์ ได้ไม่นาน
ส่วนคุณพ่อของน้องโจนาห์ สามีของคุณแม่สเตซี อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง โดยอยู่ในกลุ่มรายชื่อผู้ที่ยังค้นหาไม่พบ
นิยายรักบทใหม่ของสุดยอดคุณแม่ลูกติด แสนสั้นและจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
ลูอีซ เบอร์มูเดซ วัย 26 ปี เป็นชาวเมืองซานฮวน เปอร์โตริโก เขาป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและต้องใช้เก้าอี้รถเข็น คุณแม่อันนา ออร์ทิซ วัย 46 ปี หย่าร้างกับคุณพ่อของลูอีซ และทุ่มเทอย่างสุดความสามารถในการดูแลบุตรชาย
คุณแม่อันนาเพิ่งแต่งงานใหม่ได้ไม่นานกับแฟรงกี ไคลแมน โดยมีเพื่อนของทั้งสองจัดนัดบอดให้ ก่อนที่จะพาลูอีซย้ายเข้าอยู่ในห้องชุดบนชั้น 7 ของแฟรงกี ทั้งนี้ น้องชายและคุณแม่ของแฟรงกีอาศัยในห้องชุดใกล้ๆ กัน
ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบร่างไร้ลมหายใจของคุณแม่และคุณลูกอยู่ใกล้กันภายใต้ซากคอนกรีตและเศษเหล็ก เพื่อนผู้เป็นพ่อสื่อและจัดนัดบอดให้นั้นเรียกอันนาว่าสุดยอดคุณแม่ และบอกว่าตนมั่นใจว่าอันนาปกป้องลูกจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไปด้วยกัน
ส่วนแฟรงกีและคุณแม่ยังอยู่ในกลุ่มผู้สูญหาย
คุณพ่อวัย 54 ปี อยู่ลำพัง จากไปลำพัง
คุณพ่อมานูเอล ลาฟอนท์ วัย 54 ปี เจ้าของธุรกิจที่ปรึกษา มีบุตรชายวัยนักเรียนสองคน แต่เนื่องจากหย่าร้างกับเอเดรียนาผู้เป็นภรรยา บุตรทั้งคู่ไปอยู่ในความดูแลของคุณแม่เอเดรียนา แต่จะมาฝึกเบสบอลกับคุณพ่อในเวลาเย็นบ่อยๆ กระทั่งเพื่อนๆ นึกนิยมว่าคุณพ่อมานูเอลทุ่มเทมากๆ เลยในอันที่จะฝึกปรือให้ทั้งสองเป็นนักเบสบอลผู้เก่งฉกาจ
ในวันที่เกิดโศกนาฏกรรม คุณแม่มารับเด็กทั้งคู่ค่อนข้างดึก และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง คุณพ่อมานูเอลซึ่งหลับอยู่ในห้องชุดชั้น 8 ร่วงลงมากับตึกที่ถล่ม ร่างไร้วิญญาณของเขาถูกพบในวันจันทร์ (28)
เอเดรียนาเขียนบนเฟซบุ๊กว่ามีความทรงจำมากมายอยู่ในกำแพงทั้งสี่ของห้องคอนโดฯ ซึ่งปลาสนาการไปแล้ว และไม่มีความทรงจำเหล่านั้นอีกต่อไป ประสบการณ์ทั้งปวงถูกฝังตลอดกาล
“แมนนี่ของฉัน ผู้เคยเป็นคู่ชีวิตนานหลายปี เป็นพ่อของลูกทั้งสอง เขาตะคอกดุว่าฉันพร้อมกับรักฉันในเวลาเดียวกัน”
ด้วยความรู้สึกว่าหากไม่มีการเลิกราหย่าร้าง เธอและลูกชายก็จะชะตาขาดไปด้วย เธอจึงกล่าวกับผู้สื่อข่าว เธอรู้สึกว่าลูกชายทั้งสองเหมือนได้เกิดใหม่ “และดิฉันก็ได้เกิดใหม่เช่นกัน”
คุณปู่คุณย่า คู่รักอมตะ จากไปด้วยกัน ลูกชายตกใจ เห็นตึกของทั้งสองหายไปกับตา
คุณปู่อันโตนิโอ ลอซาโน วัย 83 ปี และศรีภรรยาคือคุณย่าแกลดี วัย 79 ปี เตรียมฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 59 ในเดือนกรกฎาคม แต่ได้จากลูกหลานไปแล้ว ทั้งสองท่านรักกันมาก และเคยพูดขำๆ หลายครั้งว่าไม่อยากพรากจากกัน และเมื่อจะต้องหมดลมหายใจก็ไม่ขอเป็นฝ่ายที่ไปก่อน เพราะเป็นห่วงอีกคนหนึ่งว่าจะว้าเหว่และอยู่อย่างไร้สุข
ด้านบุตรชายซึ่งมีบ้านบนตึกคอนโดฯ ห่างออกไปไม่ไกลและสามารถมองตึกคอนโดฯ ของคุณพ่อคุณแม่ได้ทุกเวลา เขาเล่าว่าได้ยินเสียงพังทลาย ก็วิ่งไปมองทางหน้าต่าง แต่ตึกที่คุ้นตานั้นหายไปจากสายตา
เขาบอกผู้สื่อข่าวว่าอย่างน้อยก็ดีใจที่ทั้งสองท่าน “ไปด้วยกัน และไปอย่างรวดเร็ว”
คุณชวดผู้สาวสวยสดใสตลอดกาล มีวิธีไม่ธรรมดาเมื่อมาบอกลาลูกชายและหลานชายสุดรัก
ไมเคิล นอเรียกา หนุ่มใหญ่ผู้เป็นหลานชายสุดรักของคุณชวด ฮิลดา นอเรียกา เรียกคุณชวดฮิลดาว่า คุณชวดวัย 92 ที่ดำเนินชีวิตเหมือนคุณป้าวัย 62 และกล่าวชื่นชมว่า
“เธอน่าจะเป็นผู้ที่ป็อปปูลาร์ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอ เธอมีเพื่อนเป็นตันเลยครับ เธออุทิศชีวิตเพื่อความเชื่อเป็นอันดับแรก เพื่อครอบครัวเป็นอันดับที่สอง และเพื่อเพื่อนๆ เป็นอันดับที่สาม เธอเต็มไปด้วยพลังชีวิตครับ”
ในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรม ไมเคิลพร้อมด้วยคุณพ่อรีบบึ่งไปยังจุดเกิดเหตุ และได้เห็นซากปรักหักพังเต็มไปหมด หลังจาก 1-2 ชั่วโมง คุณพ่อของไมเคิลเหยียบไปบนบางอย่างที่ร่วงอยู่ในท่ามกลางเศษอิฐเศษปูน ซึ่งปรากฏว่าเป็นบัตรอวยพรวันเกิดที่คุณชวดได้รับเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นอีกเล็กน้อย ก็ยังไปพบภาพถ่ายของคุณชวด 2 ใบ ไมเคิลบอกว่ารู้สึกดีมากๆ ที่ได้เจอบางสิ่งจากฮิลดา
ในวันอังคารที่ 29 มิถุนายน ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบร่างของคุณชวด ซึ่งเป็นการปิดฉากชีวิตดีงามของอดีตสาวคิวบาที่อพยพมาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1960
ที่สุดของความสะเทือนใจ ลูกสาว 4 ขวบ และ10 ขวบจากไปพร้อมคุณแม่กับคุณพ่อ
น้องเอมมา กัวอารา วัยเพียง 4 ขวบ กับพี่สาวคือน้องลูซีอา วัย 10 ขวบ ถูกพบเสียชีวิตใกล้กับคุณแม่อันเนลี รอดริเกซ วัย 42 ปี ภายใต้ซากอิฐปูนและเศษเหล็กทั้งปวงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (30 มิ.ย.) ในด้านของคุณพ่อมาร์คัส กัวอารา วัย 52 ปีนั้น หน่วยกู้ภัยพบร่างตั้งแต่วันเสาร์ (26) ครอบครัวของคุณพ่อมาร์คัสนับถือศาสนาโรมันคาทอลิก และเป็นสัตบุรุษวัดเซนต์โยเซฟ ซึ่งบาทหลวงเจ้าอาวาสบอกว่าครอบครัวนี้ใกล้ชิดกับชุมชนชาววัดเป็นอย่างยิ่ง
มีผู้ติดค้างในตึกที่ไม่ถล่ม และทีมกู้ภัยช่วยออกมาทางระเบียงด้วยกระเช้าบันไดของรถดับเพลิง
แบร์รี โคเฮน และภรรยาติดค้างอยู่ห้องชุดชั้นที่ 3 ของตึกซึ่งมิได้ถล่ม แต่ถูกสาดซัดด้วยเศษซากปรักหักพังปริมาณมหาศาล ด้วยเกรงว่าตึกของคอนโดมิเนียมที่ตนอาศัยอยู่อาจถล่ม แบร์รีจึงตัดสินใจว่าจะต้องรีบออกไปให้พ้นจากตัวตึก
เขาเล่าว่า เมื่อเปิดประตูห้องชุดออกไปพบว่าทางเดินเต็มไปด้วยเศษซากอิฐ ปูน และฝุ่นมหาศาลปิดทางไว้ เขาและภรรยาจึงใช้บันไดช่องหนีไฟลงไปถึงชั้นพื้นดิน แต่ปรากฏว่าไม่สามารถเปิดประตูได้ ทั้งสองตัดสินใจเดินลงสู่ชั้นจอดรถใต้ดิน และพบว่ามีน้ำท่วมสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
ทั้งสองจึงเดินกลับไปยังห้องชุด และไปร้องตะโกนขอความช่วยเหลือที่ระเบียง โดยในที่สุดทีมกู้ภัยใช้กระเช้าบันไดของรถดับเพลิงขึ้นไปรับออกมาอย่างเรียบร้อยปลอดภัย
“ตอนที่เรารอเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยนั้นตึกยังสั่นสะเทือน และรู้สึกได้ว่ามันไม่เสถียร ผมเฝ้าระแวงว่าในนาทีหนึ่งใดข้างหน้าตึกอาจถล่มราบไปกับพื้นเหมือนสองตึกนั้น” แบร์รีให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนอย่างนั้น
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เอพี รอยเตอร์ เอเอฟพี บีบีซี เอบีซีนิวส์ ยูเอสเอทูเดย์ พีเพิล)