เกาหลีเหนือออกมาเตือนวันนี้ (31 พ.ค.) ว่าการที่สหรัฐฯ เปิดทางให้เกาหลีใต้พัฒนาขีปนาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายก้าวร้าวที่อเมริกามีต่อโสมแดง และอาจทำให้คาบสมุทรเกาหลีเกิดความระส่ำระสายอีกครั้ง
ถ้อยคำประณามจากเปียงยางมีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ได้จัดการประชุมซัมมิตเมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยวอชิงตันได้ยกเลิกการจำกัดขีดความสามารถด้านขีปนาวุธของเกาหลีใต้ที่ใช้มานานหลายสิบปี เพื่อเปิดโอกาสให้โซลสามารถพัฒนาอาวุธรุ่นใหม่ๆ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านพิสัยเดินทาง
เกาหลีเหนือประกาศชัดเจนว่าไม่คิดหวนคืนสู่โต๊ะเจรจา และจะขยายขนาดคลังแสงนิวเคลียร์ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังคงมีนโยบายเป็นศัตรู แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า คำแถลงล่าสุดนี้มาจาก “นักวิจารณ์” คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งอาจจะตีความได้ว่าคณะผู้นำโสมแดงยังคงเปิดช่องทางไว้สำหรับการเจรจาทางการทูตกับรัฐบาลไบเดน
“การยกเลิกข้อจำกัด (กับเกาหลีใต้) คือสิ่งที่ย้ำเตือนถึงนโยบายไม่เป็นมิตรที่สหรัฐฯ มีต่อเกาหลีเหนือ และเป็นการใช้สองมาตรฐานอย่างน่าละอาย” สำนักข่าว KCNA รายงานคำพูดของ คิม มยองชอล (Kim Myong Chol) ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “นักวิจารณ์กิจการระหว่างประเทศ”
“แต่สหรัฐฯ คิดผิด มันคือการก้าวพลาดอย่างร้ายแรงที่พวกเขาคิดจะกดดันเกาหลีเหนือด้วยการทำลายดุลอำนาจทั้งในและรอบๆ คาบสมุทรเกาหลี และอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงและระส่ำระสายบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งในทางเทคนิคยังถือว่าอยู่ในภาวะสงคราม”
สหรัฐฯ เคยห้ามเกาหลีใต้พัฒนาขีปนาวุธที่มีพิสัยการยิงเกินกว่า 800 กิโลเมตร ด้วยเกรงว่าจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาค โดยพิสัยการยิง 800 กิโลเมตรนี้ถือว่าเพียงพอที่จะโจมตีเป้าหมายในเกาหลีเหนือได้ทุกจุด แต่ไม่สามารถไปถึงดินแดนของญี่ปุ่นหรือจีนได้
ผู้สังเกตการณ์ในเกาหลีใต้บางคนมองว่า การยกเลิกข้อจำกัดนี้ช่วยให้แดนโสมขาวได้อธิปไตยทางทหารกลับคืนมา แต่บางคนก็ยังสงสัยเจตนาของสหรัฐฯ ว่าต้องการเพิ่มศักยภาพทางทหารให้กับชาติพันธมิตรเพื่อเอาไว้คานอำนาจ “จีน” หรือไม่
ทางการเกาหลีใต้ยอมรับว่ากำลัง “เฝ้าสังเกต” ปฏิกิริยาตอบโต้จากฝั่งเกาหลีเหนืออย่างระมัดระวัง ในขณะที่ ลี จองจู โฆษกกระทรวงการรวมชาติของเกาหลีใต้ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเพิ่มเติม โดยอ้างว่าคำแถลงของ คิม มยองชอล นั้นกล่าวในนามบุคคล ไม่ได้มาจากรัฐบาลเกาหลีเหนือโดยตรง
ที่มา: เอพี