เฉิน สือจง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขไต้หวัน ระบุวันนี้ (12 พ.ค.) ว่า รัฐบาลอาจประกาศยกระดับคุมเข้มโควิด-19 ขั้น 3 “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” หลังมีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่ม พร้อมเตือนว่าสถานการณ์กำลังเข้าขั้น “ร้ายแรง” สำหรับไต้หวันซึ่งมีมาตรการควบคุมโรคเข้าขั้นดีเยี่ยมมาโดยตลอด
ศูนย์ควบคุมโรคระบาดกลางแห่งไต้หวันได้ประกาศห้ามประชาชนรวมตัวเกินกว่า 100 คนขึ้นไปในสถานที่ปิด และห้ามรวมตัวเกินกว่า 500 คนขึ้นไปในพื้นที่กลางแจ้ง รวมถึงห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในระบบขนส่งสาธารณะ โดยเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่เมื่อวานนี้ (11 พ.ค.) ไปจนถึงวันที่ 8 มิ.ย. หลังมีการตรวจพบคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อใหม่ 6 รายซึ่งยังไม่ทราบแหล่งที่มา
ล่าสุด เฉินแจ้งต่อที่ประชุมสภาวันนี้ (12) ว่า สถานการณ์ในไต้หวันเข้าขั้น “ร้ายแรงมาก” และมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะต้องปรับมาตรการคุมเข้มสู่ขั้นที่ 3 ซึ่งจะห้ามการรวมกลุ่มสังสรรค์เกิน 5 คนในสถานที่ปิด และห้ามเกิน 10 คนในสถานที่เปิดโล่ง รวมถึงสั่งปิดภาคธุรกิจบางส่วนที่ไม่มีความจำเป็น
“หากการควบคุมโรคล้มเหลวแม้แต่น้อย เราก็คงต้องปรับไปใช้มาตรการขั้น 3 ในอีกไม่ช้านี้” เฉินระบุ
รัฐมนตรีสาธารณสุขไต้หวันให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังการประชุมว่า การตัดสินใจดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้น “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
สัปดาห์นี้ รัฐบาลไต้หวันได้ขอให้โรงพยาบาลทั่วประเทศจัดเตรียมวอร์ดและเตียงคนไข้ให้เพียงพอสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาจเพิ่มจำนวนขึ้น โดยคาดว่าจะมีพอรองรับได้ถึง 3,000 เตียง
ด้านประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน เตรียมเปิดการแถลงข่าวเพื่ออัปเดตสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงบ่ายวันนี้ (12)
ประกาศจากรัฐบาลไต้หวันสร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุน และทำให้ดัชนีตลาดหุ้น TAIEX ร่วงหนักกว่า 8% ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (12)
เยสัน จุง (Yeason Jung) นักวิเคราะห์จาก Capital Futures ชี้ว่า ความเป็นไปได้ที่รัฐบาลไต้หวันจะยกระดับคุมเข้มโควิด-19 ทำให้นักลงทุนเริ่มเกิดความไม่มั่นใจ
“ถ้าถึงขั้นที่ 3 ธุรกิจส่วนใหญ่จะต้องปิดตัวลงชั่วคราว และหากไปถึงขั้น 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด จะต้องมีการสั่งปิดโรงเรียนและปิดสำนักงานต่างๆ” จุงกล่าว
รัฐบาลไทเปตัดสินใจใช้มาตรการปิดพรมแดนตั้งแต่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดจากจีนใหม่ๆ เมื่อปีที่แล้ว รวมถึงมีมาตรการกักตัวผู้ติดเชื้อและกระบวนการติดตามสอบสวนโรคที่เป็นระบบ จนสามารถคุมจำนวนผู้ป่วยสะสมเอาไว้ได้ที่ 1,210 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพียง 12 ราย และยังช่วยให้ประชาชนสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบเป็นปกติ
ที่มา : รอยเตอร์