อดีตประธานาธิบดีมาร์ติน บิซการ์รา แห่งเปรู ระบุวานนี้ (25 เม.ย.) ว่าตนและภรรยาติดเชื้อโควิด-19 ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอก 2 ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ แม้จะเคยฉีดวัคซีนของบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ไปเมื่อปีที่แล้วก็ตามที
“แม้ผมจะระมัดระวังอย่างที่สุดที่จะไม่นำเชื้อไวรัสเข้าบ้าน แต่ผมและภรรยาก็ติดโควิด และเรามีอาการป่วยกันทั้งคู่” บิซการ์รา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำเปรูในช่วงปี 2018-2020 ทวีตข้อความ
“ครอบครัวของผมได้ทำการกักตัวแล้ว ขอให้ทุกคนการ์ดอย่าตก”
บิซการ์รา วัย 58 ปี ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย และไม่ใส่ใจเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะที่ออกเดินสายหาเสียงก่อนศึกเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 เม.ย.
ข่าวการติดโควิดของบิซการ์รา มีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากที่รัฐสภาเปรูได้ลงมติห้าม อดีตผู้นำรายนี้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี สืบเนื่องจากการใช้อภิสิทธิ์ลัดคิวฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนั่นหมายความว่าเขาจะหมดสิทธิครองที่นั่งในสภาที่เพิ่งชนะเลือกตั้งมาหมาดๆ ด้วย
บิซการ์รา ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ 470 คนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนอย่างเงียบๆ ก่อนที่มันจะถูกแจกจ่ายให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง
อดีตผู้นำเปรูแถลงเมื่อเดือน ก.พ.ว่า เขาและภริยาได้ฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากเป็น “อาสาสมัคร” ทดลองวัคซีนของซิโนฟาร์ม ทว่าทางมหาวิทยาลัยซึ่งดำเนินการทดลองวัคซีนตัวนี้ยืนยันว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นอกจาก บิซการ์รา แล้วยังมีอดีตรัฐมนตรีอีก 2 คน ได้แก่ พิลาร์ มาซเซตติ อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข และ เอลิซาเบธ แอสเต็ต อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่โดนโทษแบนทางการเมืองเป็นเวลา 8 ปี และ 1 ปี ตามลำดับ
บิซการ์รา ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีเปรูเมื่อปี 2018 และถูกรัฐสภาลงมติถอดถอนในเดือน พ.ย. ปี 2020 ด้วยข้อหาคอร์รัปชัน ซึ่งเจ้าตัวยังคงยืนกรานปฏิเสธ
ทั้งนี้ อาการป่วยของบิซการ์รา อาจก่อให้เกิดคำถามในเปรูเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนฟาร์มที่รัฐบาลสั่งซื้อมาใช้
ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในเปรูกลับมาพุ่งสูงขึ้นเป็นระลอกที่ 2 โดยมีสาเหตุมาจากโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์บราซิลซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายกว่าเดิม
เปรูมียอดผู้ติดเชื้อโควิดสะสม 1.7 ล้านคนจากจำนวนประชากร 33 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 59,440 คน
(ที่มา : เอเอฟพี)