ขณะที่พวกเศรษฐีและมหาเศรษฐีดิ้นรนหาทางหลบหนีออกมาจากโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างชวนสยดสยองในอินเดีย ราคาตั๋วเครื่องบินโดยสารก็ขึ้นกันพรวดพราด เช่นเดียวกับการเพิ่มทะยานของจำนวนเที่ยวบินเหมาลำว่าจ้างเจ็ตส่วนตัวไปส่งยังต่างประเทศ
ตามรายงานข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทมส์ มีไอพ่นส่วนตัวอย่างน้อย 8 ลำนำเอามหาเศรษฐีของอินเดียไปร่อนลงในลอนดอน ก่อนหน้ากำหนดบังคับใช้มาตรการห้ามการเดินทางจากอินเดียในเวลา 04.00 น.ของวันศุกร์ (23 เม.ย.)
ทั้งสหราชอาณาจักร และแคนาดา ต่างเพิ่มชื่อของอินเดียเข้าไปใน “บัญชีรายชื่อสีแดง” ประเทศซึ่งเกิดโรคระบาดหนักหน่วงร้ายแรง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันศุกร์ (23 เม.ย.) ชาวสหราชอาณาจักรคนไหนก็ตามที่เดินทางมาจากอินเดีย ต้องถูกกักกันโรคเป็นเวลา 10 วันในโรงแรมซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาล
ส่วนผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองสหราชอาณาจักร หรือไม่ใช่พลเมืองไอร์แลนด์ จะถูกห้ามเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด หากพวกเขาได้เข้าไปในอินเดียภายในช่วงเวลา 10 วันก่อนหน้า
ตามรายงานข่าวใน เดอะเดลีบีสต์ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร ต้องยกเลิกการไปเยือนอินเดียแบบเต็มรัฐพิธีตามคำเชิญของผู้นำแดนภารตะ ซึ่งกำหนดเอาไว้ในสัปดาห์หน้า เพื่อเป็น “มาตรการระวังป้องกันเอาไว้ก่อน”
เที่ยวบินระดับหรูหราเที่ยวสุดท้ายที่เดินทางมาถึง ได้แก่ เครื่องบิน บอมบาร์ดิเอร์ โกลบัล 6000 ของ วิสตาเจ็ต ซึ่งออกจากดูไบในวันพฤหัสบดี (22) ไปรับผู้โดยสารในเมืองมุมไบ ของอินเดีย และร่อนลงจอดที่ลอนดอนเมื่อเวลา 03.15 น. ก่อนที่มาตรการเข้มงวดเริ่มมีผลบังคับใช้แค่ 44 นาที
เวลาเดียวกันนั้น รัฐบาลแคนาดาก็ได้ประกาศแบนเที่ยวบินโดยสารซึ่งมาจากอินเดียและปากีสถานเป็นเวลา 30 วัน สำนักข่าวซีบีซีนิวส์ รายงาน
ระหว่างการแถลงข่าวแบบเสมือนจริง รัฐมนตรีคมนาคม โอมาร์ อัลกาบรา ระบุว่า เนื่องจากผู้เดินทางที่มาจากทั้งสองประเทศซึ่งมาถึงแคนาดา ปรากฏว่ามีจำนวนผู้ที่ติดโรคโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องสั่งห้ามเที่ยวบินโดยสารที่มาจากสองประเทศนี้ทั้งเที่ยวบินเชิงพาณิชย์และเที่ยวบินส่วนตัว ตั้งแต่เวลา 23.30 น.วันพฤหัสบดี (22)
สำหรับเที่ยวบินบรรทุกสินค้าจะยังได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ เขาบอก และอธิบายว่า เพื่อให้การขนส่งสินค้าข้าวของที่จำเป็น อย่างเช่น วัคซีน และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ยังคงสามารถกระทำได้
อัลกาบรากล่าวด้วยว่า ผู้โดยสารเครื่องบินที่ออกจากอินเดียหรือปากีสถาน แล้วมาถึงแคนาดาโดยผ่านประเทศที่สาม จะต้องมีใบแสดงผลทดสอบโควิด-19 เป็นลบจากจุดสุดท้ายที่พวกเขาเดินทางมา จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าแคนาดา
ตามรายงานของ เดอะเดลีบีสต์ พวกผู้โดยสารเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว กำลังหลบหนีออกมาจากความสยดสยองชนิดเหนือจินตนาการในบ้านเกิดของพวกเขา
รายงานข่าวระบุว่า มีคนไข้โควิด-19 อย่างน้อย 14 คนเสียชีวิตในกองเพลิงที่ติดลุกท่วมหอรักษาผู้ป่วยอาการหนัก (ICU) ณ หนึ่งในโรงพยาบาลซึ่งมีคนไข้แน่นขนัดของอินเดีย
โรงพยาบาลแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองมุมไบราว 70 ไมล์ เกิดไฟไหม้ขึ้นเมื่อราวๆ ตอนตี 3 ของวันศุกร์ (23) เวลานี้เพลิงสงบลงแล้ว ทว่ามีผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไปอย่างน้อย 14 คน หลายๆ คนมีสายท่อระโยงระยางติดตัวและลำบากแก่การเคลื่อนย้าย
“คนไข้ราว 90 คนถูกรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลตอนที่เกิดอัคคีภัย” ดิลิป ชาห์ ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลวีเจย์ วัลลภ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ กล่าวในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ (23)
ขณะที่ อวินัช ปาติล หนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ด้านนอกของโรงพยาบาลว่า ในตอนนั้นไม่มีหมออยู่เลยสักคน
“ผมได้รับโทรศัพท์เมื่อราวตี 3 จากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งแม่ยายของเขารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนี้” เขาเล่า
“เมื่อผมมาถึงโรงพยาบาล ผมเห็นรถดับเพลิงหลายคันจอดอยู่ด้านนอก หอไอซียูที่อยู่ชั้นสองกำลังเต็มไปด้วยควันไฟ มีเพียงพยาบาล 2 คนอยู่ที่นั่น โดยผมไม่เห็นหมอเลยสักคน พนักงานดับเพลิงต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงจึงดับไฟได้สำเร็จ เราสามารถมองเห็นศพราว 8-10 ศพอยู่ที่นั่น”
ก่อนหน้านั้นในสัปดาห์ที่แล้ว ก็เกิดเหตุออกซิเจนรั่วไหลที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐมหาราษฏระ ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลซึ่งเกิดไฟไหม้ในวันศุกร์ (23) ทำให้มีคนไข้โควิด-19 ที่กำลังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่เสียชีวิตไป 24 คน เนื่องจากระบบจ่ายออกซิเจนติดขัด รายงานข่าวระบุ
สถานการณ์ในแดนภารตะกำลังสาหัสร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง โดยที่จำนวนผู้ป่วยใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงอยู่ในระดับเกิน 3 แสนราย 4 วันต่อเนื่องกันแล้ว แถมยังเป็นการทำลายสถิติโลกทั้ง 4 วันอีกด้วย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตก็เกินวันละ 2,000 คน ทั้งนี้ตามตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขในวันอาทิตย์ (25) รอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีเคสใหม่ 349,691 ราย และมีผู้เสียชีวิต 2,767 คน
การที่มีผู้ป่วยพุ่งลิ่วขึ้นมาเช่นนี้ ยังทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนทั้งออกซิเจน, เตียงคนไข้ในโรงพยาบาล รวมทั้งเครื่องช่วยหายใจ มีรายงานว่าครอบครัวที่รู้สึกหมดหวังเป็นจำนวนมากถูกบังคับให้ไปพึ่งพาพวกกักตุนปั่นราคาในตลาดมืด ซึ่งมีความสามารถซื้อหาเตียงว่างในโรงพยาบาลจากพวกผู้บริหารทุจริตคอร์รัปชั่น
ไม่เฉพาะแค่สหราชอาณาจักรและแคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเป็นฮับคมนาคมทางอากาศที่คึกคักที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ ก็ได้ประกาศตั้งแต่วันพฤหัสบดี (22) ระงับเที่ยวบินทั้งหมดระหว่างยูเออีกับอินเดียทั้งขาไปและขากลับเป็นเวลา 10 วัน ตั้งแต่วันอาทิตย์ (25) เป็นต้นไป
จากการเปรียบเทียบราคาทางเว็บไซต์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่า เที่ยวบินพาณิชย์ขาเดียวจากมุมไบไปยังดูไบในวันศุกร์ (23) และวันเสาร์ (24) ราคาขึ้นไปถึงที่ละ 80,000 รูปี (1,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ประมาณ 10 เท่าตัวของอัตราตามปกติ
ส่วนตั๋วไป-กลับระหว่างนิวเดลี-ดูไบ ก็ไต่ขึ้นไปเป็นกว่า 50,000 รูปี ราว 5 เท่าตัวของระดับปกติ
สำหรับที่นั่งบนเจ็ตส่วนตัว ก็กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมากมายในระดับที่ต้องเรียกว่า “บ้าคลั่ง” โฆษกผู้หนึ่งของ แอร์ ชาร์เตอร์ เซอร์วิส อินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทจัดเที่ยวบินเช่าเหมาลำ บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี
“เรามี 12 เที่ยวบินไปดูไบวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทุกเที่ยวบินเต็มหมดเกลี้ยงแล้ว” โฆษกผู้นี้บอก
ส่วนโฆษกของ เอนธรัล เอวิเอชั่น ผู้ให้บริการอีกรายหนึ่ง พูดทำนองเดียวกันว่า “ผมได้รับการสอบถามเกือบๆ 80 รายเรื่องบินไปดูไบ เฉพาะวันนี้วันเดียว”
“เราได้รับคำขอให้จัดเครื่องบินเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกเพื่อสนองความต้องการ ... ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 38,000 ดอลลาร์สำหรับการว่าจ้างเครื่องบินเจตขนาด 13 ที่นั่งจากมุมไบไปดูไบ และ 31,000 ดอลลาร์ถ้าเป็นเครื่อง 6 ที่นั่ง” เขาบอกกับเอเอฟพี
“คนที่ต้องการจะไปกำลังหาทางรวมกลุ่มกันและหาทางแชร์ค่าใช้จ่ายเจ็ตของเราเพื่อจะได้ที่นั่งสักที่หนึ่ง ... เราได้รับการสอบถามบางรายเรื่องไปประเทศไทยด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่สุดแล้วเป็นความต้องการไปดูไบ”
ยูเออีเป็นที่พำนักของชาวอินเดียราวๆ 3.3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรที่นั่น พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในดูไบ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐเจ้าอาหรับ (เอมิเรต) ที่รวมตัวกันเป็นประเทศในลักษณะของสหพันธ์รัฐเจ้าอาหรับแห่งนี้
(เก็บความจากเรื่อง India’s super-rich flee ‘unimaginable horror’ โดย Dave Makichuk ในเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)