ตัวกลายพันธุ์โควิด-19 ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก ซึ่งพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักรช่วงปลายปีที่แล้ว และกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก มีความร้ายแรงกว่าตัวกลายพันธุ์เด่นตัวอื่นๆ ก่อนหน้านี้ คณะวิจัยเปิดเผยเมื่อวันพุธ (10 มี.ค.)
ในผลการศึกษาที่เปรียบอัตราการเสียชีวิตในหมู่ประชาชนในสหราชอาณาจักรที่ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์ B.1.1.7 กับบรรดาผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์อื่นๆ ของไวรัสที่เป็นต้นตอโรคโควิด-19 พวกนักวิทยาศาสตร์พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากตัวกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร อยู่ในระดับ “สูงอย่างมีนัยสำคัญ”
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์ B.1.1.7 ถูกพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน 2020 และนับตั้งแต่นั้นมันถูกพบอีกมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
มันมีการเปลี่ยนแปลงในรหัสพันธุกรรมถึง 23 จุด ถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง และบางส่วนในนั้นทำให้มันแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าเดิมเป็นอย่างมาก โดยพวกนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มันแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าตัวกลายพันธุ์เด่นตัวก่อนๆ ที่กำลังวนเวียนอยู่ในเวลานี้ ราวๆ 40% ถึง 70%
ผลการศึกษาในสหราชอาณาจักร ซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์บริติช (British Medical Journal) เมื่อวันพุธ (10 มี.ค.) พบว่า การติดเชื้อตัวกลายพันธุ์ใหม่สหราชอาณาจักร นำมาซึ่งการเสียชีวิต 227 ราย ในกลุ่มตัวอย่างคนไข้โควิด-19 จำนวน 54,906 คน ขณะที่คนไข้ผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์อื่นๆ พบเสียชีวิต 141 คน ในกลุ่มตัวอย่างจำนวนเท่ากัน
“ประกอบกับความสามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว มันทำให้ B.1.1.7 เป็นภัยคุกคามที่ควรใส่ใจอย่างจริงจัง” จากคำกล่าวของ โรเบิร์ต คาลเลน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เซเตอร์ แกนนำร่วมในการวิจัย
พวกผู้เชี่ยวชาญอิสระระบุว่า การค้นพบของผลการศึกษา เป็นข้อมูลเสริมหลักฐานเบื้องต้นก่อนหน้านี้ที่เชื่อมโยงการติดเชื้อตัวกลายพันธุ์ B.1.1.7 กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อโควิด-19
ลอว์เรนซ์ ยัง นักไวรัสวิทยาและศาสตราจารย์ด้านมะเร็งวิทยาระดับโมเลกุลแห่งมหาวิทยาลัยวาร์วิค ระบุว่า กลไกที่แน่นอนที่อยู่เบื้องหลังอัตราการเสียชีวิตระดับสูงจากตัวกลายพันธุ์ B.1.1.7 ยังคงไม่ชัดเจน แต่มันอาจสัมพันธ์กับการเพิ่มจํานวนของไวรัสในระดับสูง เช่นเดียวกับการแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้น
เขาเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวกลายพันธุ์สหราชอาณาจักร กำลังโหมกระพือการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดทั่วยุโรป
(ที่มา: รอยเตอร์)
