xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งทศวรรษหลังสึนามิถล่มญี่ปุ่น น้ำตายังไม่เหือดแห้ง แต่มี ‘โทรศัพท์แห่งสายลม’ ช่วยส่งถ้อยคำของผู้ทุกข์ตรมสู่จิตผู้วายชนม์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“โมชิ (ฮัลโหล)... โมชิ (ฮัลโหล)...” เสียงสั่นเครือของคุณพ่อวัยยี่สิบกว่าปี เขาสูญเสีย มิเนะภรรยา กับ อิซเซะลูกชายตัวน้อยวัยเพียงหนึ่งขวบ เมื่อคราวคลื่นสึนามิความสูง 40.5 เมตร สาดซัดเข้าถล่มทำลายญี่ปุ่น

ในตู้โทรศัพท์ไม้สีขาวอันสงบและวิเวก เขาคุยกับอิซเซะ

“ถ้าลูกอยู่ตรงนั้น ฟังพ่อนะ” เสียงสะอื้นแผ่วเบา “พ่อขอเพียงครั้งเดียว พ่ออยากได้ยินลูกเรียกพ่อสักครั้งได้ไหม ... พ่อคิดถึงลูกเหลือเกิน” เสียงสะอื้นในลำคอแผ่วเบา


ตู้โทรศัพท์ไม้สีขาวบนยอดเนินเขาหญ้าแห้งกรอบ สงบและวิเวกอยู่ภายใต้กิ่งก้านไร้ดอกและใบของต้นซากุระ โอบกอดต้อนรับทุกคนที่แวะมาเยือน มายกหูคุยกับผู้วายชนม์ มากกว่าสิบปีแล้วที่ตู้สีขาวและหลังคาสีเขียวซึ่งแลดูงดงามเหงาเศร้านี้ ยืนหยัดในแสงตะวันของเมืองโอสึชิ ในจังหวัดอิวาเตะ เมืองชายทะเลเล็กๆ ซึ่งมีประชากรเพียงหนึ่งหมื่นเศษ และเป็นหนึ่งในหลากหลายเมืองที่ถูกถล่มด้วยมหาวินาศคลื่นสึนามิ เมื่อ 11 มีนาคม 2011 ชาวเมืองโอสึชิ ราว 800 รายสูญเสียชีวิต และอีกราว 400 รายสูญหาย ชีวิตเหล่านี้ที่ถูกคร่าไป เทียบได้ประมาณ 10% ของประชากรทั้งเมือง

ในวันนี้ วันที่ 11 มีนาคม 2021 จะเป็นวันครบรอบหนึ่งทศวรรษโศกนาฏกรรมที่ฉีกดวงใจคนญี่ปุ่นทั้งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวเมืองโอสึชิ ขณะที่ชีวิตผู้คนยังดำเนินกันต่อไป ความรวดร้าวทั้งปวงและหยาดน้ำตามหาศาลก็ยังเนืองนองอยู่ในหัวใจ กระนั้นก็ตาม ผู้คนเหล่านี้มีตู้โทรศัพท์สีขาวที่เรียกกันว่า “โทรศัพท์แห่งสายลม” ช่วยนำถ้อยคำจากเบื้องลึกของหัวใจ ไปสู่ความรับรู้ของผู้วายชนม์ในสรวงสวรรค์

ตู้โทรศัพท์ไม้สีขาวบนยอดเนินเขาหญ้าแห้งกรอบ สงบและวิเวกอยู่ในแสงตะวันของเมืองโอสึชิ จังหวัดอิวาเตะ รอที่จะโอบกอดต้อนรับทุกคนที่แวะมาเยือน มายกหูคุยกับผู้วายชนม์ ภายในตู้แขวนบทกวีที่ติดใส่กรอบไว้ เป็นกำลังใจว่า  “ใครกันเล่า... ที่เจ้า จักโทรหา ณ ตู้สนทนา ในสายลม โบกพัดพา เปล่งวาจา เจ้าจักต้อง ตรงจากใจ  มาตรว่าใจ ได้ทราบถึง เสียงลมกระซิบ  อุบอิบบอก เจ้าร้าวราน ถึงปานไฉน  จงแม่นมั่น ทุกสิ่งสรร ภายในหทัย ได้ระบัด ชัดแจ้งใจ เขาแล้วเอย”
โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ 2011

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2011 โศกนาฏกรรมครั้งประวัติการณ์ของญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นและทำลายจังหวัดอิวาเตะ และจังหวัดอื่นอีกมากมายภายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยประกอบด้วย แผ่นดินไหวความรุนแรงถึง 9.0 ซึ่งรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในอันดับที่ 5 ของโลก นับแต่ที่มีการจดบันทึกกัน และคลื่นสึนามิที่ร้ายกาจด้วยความสูงระดับสุดที่ 40.5 เมตร แล้วตามมาด้วยการระเบิดในเครื่องปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะหมายเลข 1 และสารกัมมันตรังสีรั่วไหลต่อเนื่องหลายวัน

(บน)บรรดาอาคารบ้านเรือนบนพื้นที่ต่ำริมทะเลทั้งปวงล้วนแต่พังทลายราบไปหมดสิ้น ด้วยแรงกระแทกมหาศาลของคลื่นสึนามิที่เมืองนาโตริ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น เมื่อ 11 มีนาคม 2011 (ซ้ายล่าง)ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลให้เพดานของร้านหนังสือแห่งหนึ่งในเมืองเซนไดทลายลงมา   (ขวาล่าง)คุณโตยะ ชิบะผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ในอิวาเตะติดอยู่ในคลื่นทะเลที่สาดซัดเข้ามายังลานจอดรถของท่าเรือคามาอิชิเมื่อ 11 มีนาคม 2011 คลื่นซัดให้เขาไถลไร้ทิศทางไกลกว่า 30 เมตร  แต่ด้วยบุญรักษา เขาคว้าเชือกที่แกว่งไกวอยู่ไม่ห่างได้สำเร็จ จึงสามารถปีนขึ้นไปบนกองถ่านหินสูงประมาณ 8 เมตร และเอาชีวิตรอดมาได้  ทั้งนี้ เว็บไซต์ theatlantic.com นำภาพจากสำนักต่างๆ เช่น รอยเตอร์ เอพี มารวบรวมสถานการณ์มหาวิปโยค 2011 Great East Japan Earthquake อย่างละเอียด
สำหรับชะตากรรมของเมืองโอสึชิในจังหวัดอิวาเตะ นับว่าสาหัสอย่างยิ่งยวด มากกว่าครึ่งเมืองย่อยยับด้วยพลังทำลายล้างของแผ่นดินไหวและคลื่นสินามิ เมืองขนาด 200.4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้ สูญเสียประชากรมากถึง 10% ท่าเรือและอาคารบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างซึ่งมิได้อยู่ในที่สูงล้วนถูกทำลายราพณาสูร


แม้จะมีการปิดประตูน้ำทั้ง 12 จุดของกำแพงป้องกันคลื่นสึนามิ แต่ก็มิอาจสกัดพลังทำลายล้างของมหันตภัยนี้ได้ มิหนำซ้ำ ยังต้องสูญเสียนักผจญเพลิงและนักต่อสู้ภัยธรรมชาติประจำเมืองไปกว่า 8 ราย ขณะที่ตัวนายกเทศมนตรีของโอสึชิที่สั่งการต่อสู้ภัยธรรมชาติอย่างเข้มแข็งตลอดวันศุกร์ กลับเสียท่าให้แก่สึนามิ นักกู้ภัยพบร่างไร้วิญญาณของท่านในมหาสมุทรในวันรุ่งขึ้น

นอกจากนั้น เมืองชาวประมงแห่งนี้ ซึ่งมีเรือประมงมากกว่า 650 ลำ เหลือเรือประมงเพียงแค่ 30 ลำ ส่วนอุตสาหกรรมฟาร์มทะเลคือย่อยยับหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

(ซ้ายบนและล่าง)  สภาพอันยับเยินของเมืองโอสึชิในวันที่ 15 มีนาคม หลังแผ่นดินไหว ไฟไหม้ และคลื่นสึนามิยุติการอาละวาด  (ขวาบน) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในโอสึชิถูกทำลายเสียหาย และต้องโยกย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นที่ยังทำการรักษาดูแลประชาชนได้   (ขวาล่าง) เรือขนาดใหญ่ถูกคลื่นสึนามิซัดสาดจากมหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นมากองบนซากอาคาร  ทั้งนี้ เว็บไซต์ theatlantic.com นำภาพจากสำนักต่างๆ เช่น รอยเตอร์ เอพี มารวบรวมสถานการณ์มหาวิปโยค 2011 Great East Japan Earthquake อย่างละเอียด
ตู้โทรศัพท์สีขาวซึ่งไร้สาย ปลอดภัยดีบนยอดเนินเขา

ตู้โทรศัพท์ไม้ทาสีขาวในสวนสวยบนยอดเนินเขาของเมืองโอสึชิ ซึ่งเพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปลายปี 2010 เป็นหนึ่งในสิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่บนที่สูง และปลอดภัยจากพลังทำลายล้างของแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ

คุณปู่อิทารุ ซาซะกิ ศิลปินนักออกแบบแลนด์สเคปให้แก่สวนดอกไม้ เป็นผู้รังสรรค์และติดตั้งตู้โทรศัพท์นี้ไว้ไม่ไกลจากตัวบ้าน เพื่อให้เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่จะ “ต่อสาย” ไปคุยกับญาติสนิทที่แสนรักซึ่งจากไปก่อนวัยอันควร

อิทารุสูญเสียญาติสนิทที่แสนรักให้แก่โรคมะเร็งด้วยความปวดร้าวใจ อยากจะบอกความรู้สึกนึกคิดให้อีกฝ่ายได้รับทราบ อันเป็นสิ่งที่ยากจะเอื้อนเอ่ย ศิลปินท่านนี้ออกตระเวนหาซื้อตู้โทรศัพท์ทรงสูงสไตล์อังกฤษ ฝาตู้แต่ละด้านกรุด้วยแผ่นกระจกใส เขาขัดเกลาทุกส่วนของตู้จนสะสวย สะอาดสะอ้านและเหมือนใหม่ พร้อมทั้งทาสีขาวสดใส แล้วนำไปติดตั้งที่สวนดอกไม้ในอาณาบริเวณอันกว้างขวางของบ้าน

ที่ชั้นวางของภายในตู้ เขาวางเครื่องโทรศัพท์สีดำแบบที่เป็นแป้นหมุนรุ่นโบราณ สายโทรศัพท์มิได้ถูกต่อออกไปเชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายของโลกมนุษย์ มันถูกมัดวางเรียบร้อยข้างตัวเครื่อง ทั้งนี้ ภายในตู้แห่งนี้ การคุยสายกับผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้สัญญาณโทรศัพท์ผ่านเคเบิลใยแก้วใดๆ เพราะเมื่อคนเราโทรศัพท์คุยกับบุคคลอันเป็นที่รักในสรวงสวรรค์ เราจะใช้เพียงเครือข่ายสื่อสารแห่งสายใยดวงใจ โดยมีกระแสลมเย็นรื่นช่วยหอบถ้อยคำจากก้นบึ้งหฤทัย ไปถึงวิญญาณของบุคคลผู้ฟังอยู่ ณ อีกปลายหนึ่ง

ผู้ที่สร้างโทรศัพท์ตู้นี้ขึ้นมา ได้ขนานนามผลงานรังสรรค์ของตนว่า โทรศัพท์แห่งสายลม หรือก็คือ คาเสะ โนะ เดนวะ (The Phone of The Wind)

คุณปู่อิทารุ ซาซะกิ ศิลปินนักออกแบบแลนด์สเคปให้แก่สวนดอกไม้ เป็นผู้รังสรรค์และติดตั้งตู้โทรศัพท์นี้ไว้ไม่ไกลจากตัวบ้าน เพื่อให้เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่จะ “ต่อสาย” ไปคุยกับญาติสนิทที่แสนรักซึ่งจากไปก่อนวัยอันควร
“สถานที่เล็กๆ ที่จะเอ่ยเอื้อนความตรอมตรมทั้งปวง”

อิทารุเคยถ่ายทอดเรื่องราวของคาเสะ โนะ เดนวะ ในรายการวิทยุ This American Life เมื่อปี 2016 โดยบอกว่าตนเพียงต้องการสถานที่สักแห่งที่รู้สึกว่าสามารถคุยกับญาติที่รักท่านนั้นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง สถานที่เล็กๆ ที่สามารถเอ่ยเอื้อนถึงความตรอมตรมทั้งปวงออกมา

การตั้งตู้โทรศัพท์ไว้ในสวนดอกไม้ บนยอดเนินเขาที่เย็นรื่นด้วยกระแสลมพัดผ่าน และมองลงไปเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกเช่นนี้ อิทารุรู้สึกว่านี่คือวิธีพูดคุยกับอีกฝ่ายหนึ่งที่เพอร์เฟ็กต์มาก ก่อนมหาวิบัติมาบดขยี้ชาวโอสึชิ อิทารุครอบครองโทรศัพท์แห่งสายลมไว้เพียงลำพัง การสนทนาเชื่อมต่อกับญาติผู้ล่วงลับ ช่วยบรรเทาความทุกข์ตรมอันกัดกินใจได้อย่างมหัศจรรย์

“เพราะความคิดของผมไม่อาจถ่ายทอดผ่านไปกับสายโทรศัพท์ปกติ ผมอยากจะให้กระแสลมหอบหิ้วถ้อยคำทั้งปวงไปยังเขา ผมตั้งชื่อสถานที่นี้ว่า คาเสะ โนะ เดนวะ หรือโทรศัพท์แห่งสายลม” ศิลปินผู้มีจิตใจละเอียดลึกซึ้งบอกรายการ This American Life ไปอย่างนั้น และบอกด้วยว่า...

“การพูดคุยกับผู้วายชนม์ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนญี่ปุ่น เส้นกั้นระหว่างโลกนี้กับโลกของวิญญาณนั้นบางนิดเดียว”

เป็นความรู้สึกดีที่ได้พูดความโศกเศร้าออกไป


ในท่ามกลางความรวดร้าวใจแสนสาหัสที่ท่วมท้นชั้นบรรยากาศของเมืองโอสึชิ ผู้คนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในคลื่นสึนามิแห่งปี 2011 ได้รับเชิญให้มาใช้โทรศัพท์แห่งสายลม ของอิทารุ ศิลปินอาวุโสแห่งชุมชนเมืองอันเก่าแก่ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักนับถือของชาวเมืองมาเนิ่นนาน

“มีคนมากมายซึ่งไม่มีโอกาสจะได้กล่าวลากันและกัน” อิทารุ ชายสูงอายุซึ่งยังเปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิตพูดอย่างนั้นในรายการ This American Life “มีครอบครัวเยอะมากที่ปรารถนาว่าพวกเขาจะมีโอกาสบอกสิ่งสำคัญต่างๆ ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากได้ทราบล่วงหน้าว่าจะไม่ได้พูดจากันอีกแล้ว”

ผู้มาเยือนทุกคนสามารถเข้าสู่พื้นที่สวนในอาณาบริเวณอันกว้างขวางของบ้านศิลปินอิทารุ และใช้โทรศัพท์แห่งสายลมได้ทุกเมื่อที่ปรารถนา และภายในตู้โทรศัพท์อันสงบและวิเวก ผู้มาเยือนต่างรู้สึกว่าได้ยืนอยู่ในโลกส่วนตัว และจะกล่าวทุกสิ่งออกไปให้บุคคลที่ตนคิดถึงได้รับฟัง และเมื่อก้าวออกมา หลายๆ คนจะเดินเช็ดน้ำตาหลังจากที่ได้หมุนโทรศัพท์ไปคุยกับผู้ซึ่งอยู่ ณ อีกปลายหนึ่งของสายภายในสรวงสวรรค์

ผู้มาเยือนคาเซะ โนะ เดนวะ สามารถเข้าสู่พื้นที่สวนในอาณาบริเวณอันกว้างขวางของบ้านศิลปินอิทารุและใช้โทรศัพท์แห่งสายลมได้ทุกเมื่อที่ปรารถนา
กายถูกพราก แต่สายใยดวงใจเชื่อมโยงถึงกัน

ภายในตู้โทรศัพท์ คุณลุงคาสุโยชิ ซาซะกิ ยืนนิ่ง สีหน้าเปี่ยมด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยจาง แกบรรจงหมุนแป้นโทรศัพท์ เพื่อต่อสายไปยังเบอร์มือถือของคุณป้ามิวาโกะ ผู้ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่สูญหายไปในคลื่นสึนามิ ร่างกายสูงใหญ่ของแกคุ้มโค้งตามลักษณะของผู้สูงวัย มือทั้งสองเกาะกุมหูโทรศัพท์ในอาการระมัดระวัง

คุณลุงกระซิบเสียงกลั้นสะอื้นบอกคุณป้าว่า ได้เพียรพยายามตามหาคุณป้าวันแล้ววันเล่า รวมทั้งไปยังทุกศูนย์รองรับผู้อพยพลี้ภัยพิบัติ และสถานที่เก็บศพชั่วคราวทุกแห่ง โดยในแต่ละค่ำคืนที่ต้องกลับบ้านซึ่งเหลือแต่ซาก ดวงใจบอบช้ำของคุณลุงตั้งตาเฝ้ารอตะวันส่องสว่างขึ้นอีกรอบ

“ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผมยังจำทุกเรื่องราวได้แม้จนวันนี้” คุณลุงคาสุโยชิ พูดไปในโทรศัพท์พลางสะอื้น “ผมส่งข้อความไปถึงคุณ ไปบอกคุณว่าผมอยู่ตรงไหน แต่คุณไม่ได้เปิดอ่านข้อความ”

“เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า มีดวงดาวนับพันระยิบระยับอยู่บนนั้น มันสวยเหมือนกล่องเครื่องเพชร” คุณลุงวัย 67 ปี กล่าว “ผมได้แต่ร้องไห้และร้องไห้ ผมทราบในตอนนั้นว่าต้องมีคนมากมายที่ตายจากไป”

คุณลุงคาสุโยชิ ซาซะกิ ร่ำไห้ขณะต่อสายคุยกับภรรยาคือคุณป้ามิวาโกะ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่สูญหายไปในคลื่นสึนามิ คุณลุงกระซิบเสียงกลั้นสะอื้นบอกคุณป้าว่า ได้เพียรพยายามตามหาคุณป้าวันแล้ววันเล่า “ผมส่งข้อความไปถึงคุณ ไปบอกคุณว่าผมอยู่ตรงไหน แต่คุณไม่ได้เปิดอ่านข้อความ”
“ว้าเหว่เป็นที่สุด”

เมื่อ ซาชิโกะ โอคาวะ คุณย่าของหนุ่มน้อยชั้นประถมสองนาย ได้ทราบถึงโทรศัพท์แห่งสายลม ก็มาหมุนโทรศัพท์ไปคุยกับคุณปู่โทอิชิโระ คู่ครองซึ่งได้ใช้ชีวิตร่วมกันกว่า 44 ปี แต่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะคลื่นสึนามิซัดพาคุณปู่สูญหายไปในท้องมหาสมุทรแปซิฟิก

ซาชิโกะถามไถ่สามีว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือไม่ แล้วสุภาพสตรีวัย 76 ปี โพล่งออกมาว่า

“ปู่เอ๊ย... ย่าว้าเหว่มากนะ” เสียงของเธอสั่นเครือ เธอขอให้สามีช่วยคุ้มครองดูแลครอบครัว

“เท่านี้ก่อนนะ แล้วจะมาคุยด้วยอีก”

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา สุภาพสตรีสูงวัยผู้มีหลานย่าสองหนุ่มเป็นขวัญชีวิต มักจะพาหลานๆ มาโทรศัพท์เล่าสิ่งละอันพันละน้อยให้คุณปู่รับทราบมิได้ขาด เธอบอกว่า ในบางครา เธอรู้สึกได้ยินเสียงของสามีแว่วตอบมา

“เสียงนั้นทำให้ย่ารู้สึกดีขึ้นบ้าง”

คุณย่าซาชิโกะ โอคาวะและหลานหนุ่มน้อยทั้งสอง ซึ่งเติบโตขึ้นมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพนี้บันทึกในปีนี้ โดยนักข่าวของรอยเตอร์

ร่ำไห้ดั่งน้ำตาจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด


ในบ่ายอันร่มรื่นวันหนึ่ง คุณป้าคิคูเอะ ฮิราโนะ มาเยือนโทรศัพท์แห่งสายลมเพียงลำพัง เธอเคยเป็นชาวเมืองโอสึชิ แต่หลังจากมหาวิบัติสึนามิทำลายบ้านของเธอย่อยยับ และคร่าชีวิตสามีของเธอซึ่งเป็นชาวประมงน้ำลึก เธอตัดสินใจย้ายออกจากความทรงจำอันขมขื่น ไปอยู่ลำพังในเมืองอื่นห่างไกล 70 กิโลเมตร ในท่ามกลางสายลมโบกพัดเย็นรื่น คุณป้าวัย 66 ปี ขับรถกลับมาโอสึชิ และเข้ามาที่ตู้คาเสะ โนะ เดนวะ

ในห้วงเวลาสั้นๆ ที่เธอยืนอยู่หน้าเครื่องโทรศัพท์ เธอทำแบบเดียวกับคนอื่นๆ คือ ใช้นิ้วหมุนแป้นโทรศัพท์พลางพึมพำ หมายเลขเบอร์โทรฯ ของบ้านที่ย่อยยับไปหมดสิ้นแล้วนั้น ทีละตัว ทีละตัว

สี่ สอง ห้า เจ็ด สี่ สี่ คุณป้าผู้มีชีวิตอยู่ตามลำพังกล่าวขานตัวเลขเบอร์โทรของบ้านที่ย่อยยับไปหมดสิ้นแล้ว เลขหมายดังกล่าวเป็นเบอร์โทรศัพท์แห่งเดียวที่เธอทราบ และคิดว่าจะเชื่อมโยงไปถึงสามีผู้ล่วงลับ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมา คุณป้าคิคูเอะยืนเงียบงันอยู่ในตู้แสนงาม แนบหูโทรศัพท์เบียดนิ่งอยู่กับแก้มและกรรณ

ในบางครั้งคราว เธอขยับกายไปมา ขยับนิ้วเช็ดน้ำตา แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปเพ่งจ้องเพดานตู้ ในอาการเดียวกับผู้ที่พยายามจะกลั้นสะอื้น แต่แล้วกลับระเบิดร้องไห้ น้ำตานองใบหน้า ร้องร่ำไห้ซ้ำๆ ในท้ายที่สุด จึงวางสายลงราวจะตัดขาดกับบางสิ่ง

สุภาพสตรีผู้ต่อสู้กับโลกเพียงลำพังยังยืนนิ่งในตู้อีกพักหนึ่ง มือทั้งสองเกาะกุมในอาการอธิษฐาน สายตาจับจ้องที่พื้น หลังจากนั้น จึงก้าวออกมา และเดินกลับสู่รถยนต์ของเธอ


“แม่เค้าอยู่กับลูกใช่มั้ย ดูแลแม่ด้วยนะ”

ในวันหม่นมัวของฤดูหนาวปีหนึ่ง บุรุษผมสีดอกเลาผู้มีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอ เดินเข้าสู่สวนของศิลปินอิทารุ ผ้าขนหนูคล้องคอในสไตล์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายแบบเกษตรกรญี่ปุ่น ซึ่งจะถูกใช้เพื่อปาดเหงื่อและเช็ดมือ

บุรุษท่านนี้เปิดเข้าสู่ตู้ คาเสะ โนะ เดนวะ เขาเป็นผู้มาเยือนครั้งแรก เขาสูญเสียบุตรชายนามว่า โนบูกูกิ ให้แก่เงื้อมมือของสึนามิ นอกจากนั้น ยังสูญเสียบ้านด้วย เขากับภรรยาต้องไปอาศัยในที่พักชั่วคราวที่ภาครัฐให้การสงเคราะห์ อยู่ที่นั่นไม่นาน ภรรยาล้มป่วยและทิ้งเขาไว้ลำพังในโลกใบนี้

เกษตรกรผมสีดอกเลาหมุนหมายเลขโทรศัพท์ และกล่าวทัก

“โมชิ โมชิ โนบูกูกิเอ๊ย… ฟังอยู่หรือเปล่าลูก” …… “แม่เค้าอยู่กับลูกใช่มั้ย ดูแลแม่ด้วยนะ แล้วก็ดูแลตากับยายด้วยล่ะลูก”

นิ่งเงียบพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ

“แม่เอ๊ย ฟังพ่ออยู่หรือเปล่า ... … … ไว้พ่อมาคุยอีกนะ โอเคนะ”

เสียงวางหูโทรศัพท์กลับลงไปบนเครื่อง

เสียงประตูเปิดออก ... เสียงประตูปิดลง

เกษตรกรผมสีดอกเลาผู้มีชีวิตอยู่ลำพังในโลกใบนี้ ดึงผ้าขนหนูที่คล้องคอมาเช็ดน้ำตาอันไหลรินบนสองแก้มเกรียม

น้องเรน โคซากิ นักเรียนวัย 15 ปี สะพายเป้สีแดงขึ้นหลัง นั่งรถสาธารณะจากบ้านสี่ชั่วโมงมายังโทรศัพท์แห่งสายลม เพื่อต่อสายคุยกับคุณพ่อ บ้านของน้องอยู่เหนือขึ้นไปมาก ย่านนั้นจึงได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิไม่หนัก แต่คุณพ่อขับรถบรรทุกบนถนนเลียบชายฝั่งทะเลในโอสึชิ ณ เวลาที่คลื่นสึนามิถาโถมเข้ามา ซากรถปรากฏอยู่บนแผ่นดิน แต่ร่างกายของคุณพ่อสูญหายไปในมหาวิบัติครั้งนี้ น้องเรนบอกคุณพ่อว่าทุกคนที่บ้านสบายดี แล้วถามว่า “ทำไมพ่อต้องตาย ทำไมผมต้องเจอเรื่องนี้อยู่คนเดียว ผมสลัดความทุกข์ออกไปไม่ได้เลย ทำไมต้องเป็นผมครับพ่อ”
“โทรศัพท์แห่งสายลมช่วยให้รู้สึกต่อติดกับผู้ที่จากไป”

ชาวเมืองโอสึชิมากมายบอกว่าโทรศัพท์แห่งสายลมช่วยให้รู้สึก “ต่อติด” กับบุคคลผู้เป็นที่รัก และการได้พูดความในใจออกไปบ้างนั้น ช่วยปลุกปลอบให้คลายเศร้าในยามที่ต้องประคองชีวิตให้อยู่รอดในท่ามกลางความทุกข์ตรมและว้าเหว่ทั้งปวง

“ฉันไม่ได้ยินเสียงลูกหรอกค่ะ ฉันเป็นฝ่ายพูดอยู่ข้างเดียว แต่ลูกได้ยินฉัน ฉันจึงมีแรงใจที่จะดำเนินชีวิตมาถึงทุกวันนี้” คุณป้าชาวเมืองโอสึชิให้สัมภาษณ์ซื่อๆ เธอใช้คาเสะ โนะ เดนวะ โทรหาลูกชายซึ่งถูกไฟเผาร่างกายสูญสลาย

ในความหวังว่าถ้อยคำจากหัวใจทั้งหมดทั้งมวลอาจไปถึงความรับรู้ของผู้ที่จากไป ชาวญี่ปุ่นหลายหมื่นคนได้มาเดินตัดสวน เข้าไปในตู้โทรศัพท์ เผยความในใจทั้งปวง และกลับบ้าน แล้วกลับไปยังคาเสะ โนะ เดนวะ อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยกับผู้ที่รอฟัง ณ อีกปลายหนึ่งของสายสนทนาในสรวงสวรรค์

หนึ่งทศวรรษของโทรศัพท์แห่งสายลม: เป็นความรู้สึกดีๆ ที่สัมผัสได้

ปีแล้วปีเล่าผันผ่านไปจนครบหนึ่งทศวรรษ และคาเสะ โนะ เดนวะก็ต้อนรับชาวเมืองโอสึชิ ตลอดจนบรรดาผู้ซึ่งเดินทางมาจากพื้นที่ห่างไกลทั่วทุกทิศของญี่ปุ่น รวมได้ 30,000 คนแล้ว ผู้คนซึ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเพราะโรคภัยต่างๆ อีกทั้งเพราะการฆ่าตัวตาย

โทรศัพท์แห่งสายลมเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ผู้คนสัมผัสได้ และมีความรู้สึกประทับใจร่วมไปด้วย

เมื่อหกปีที่แล้ว สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค อันเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของญี่ปุ่นได้จัดทำสารคดีเรื่องราวของคาเสะ โนะ เดนวะ ในชื่อว่า Phone of the Wind: Whispers to Lost Families หรือโทรศัพท์แห่งสายลม เสียงกระซิบถึงบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งได้จากไป โดยนำเสนอชีวิตของผู้คนซึ่งยังอยู่ในความทุกข์ตรมโศกเศร้า ผู้ซึ่งได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดอันบีบเค้นอัดอั้นอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ

ผู้จัดทำสารคดีโทรทัศน์ชุดนี้ได้รับอนุญาตจากคุณปู่อิทารุ และผู้มาเยือนคาเสะ โนะ เดนวะ ให้บันทึกภาพและเสียง เพื่อออกอากาศเผยแพร่เรื่องราวความทุกข์โศกจากการสูญเสียทั้งปวง การบันทึกภาพทำจากระยะไกล ในเวลาเดียวกัน มีการฝังไมโครโฟนไว้ในโทรศัพท์

เอ็นเอชเคนำสารคดีอันน่าประทับใจชุดนี้ออกอากาศในทุกปีที่เป็นช่วงครบรอบมหันตภัยคลื่นสึนามิทำลายญี่ปุ่น

หลังจากนั้น รายการวิทยุ The American Life นำเสียงบันทึกไปออกอากาศในตอนที่ชื่อว่า  One Last Thing Before I Go ในปี 2016 โดยนำเรื่องด้วยการสนทนากับศิลปินอิทารุ

และเมื่อปีที่แล้ว (2020) มีการนำคาเสะ โนะ เดนวะ ของศิลปินอิทารุไปสร้างภาพยนตร์เรียกน้ำตาชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ ในชื่อเรื่องว่า เสียงในสายลม หรือ Voices in the Wind

อิทารุ ซาซะกิ เล่าแก่นักข่าวรอยเตอร์ว่าเมื่อประมาณปลายปี มีชาวต่างประเทศติดต่อมาขอคำแนะนำเพื่อสร้างโทรศัพท์แห่งสายลมขึ้นในอังกฤษและโปแลนด์ เพื่อให้ผู้คนได้คุยกับบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งจากไปเพราะโรคระบาดโควิด-19

โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องเสียงในสายลม หรือ Voices in the Wind ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวของคาเสะ โนะ เดนวะ “โทรศัพท์แห่งสายลม”
เพราะรอยโศกมิรู้สร่างจางหาย: “ผมดีใจที่เราได้พบกัน”

เฉกเช่นชาวเมืองหลายพันคนในชุมชนริมฝั่งมหาสมุทรที่ถูกวิบัตภัยฉีกดวงใจและทำลายชีวิตดีๆ จนย่อยยับ คุณลุงคาสุโยชิ สมาชิกสภาเมืองโอสึชิต้องเผชิญกับการสูญเสียภรรยา ตลอดไปถึงญาติสนิทและมิตรสหายจำนวนมากมาย

คุณป้ามิวาโกะเป็นโลกทั้งใบของเขา ทั้งสองรู้จักกันเมื่อยังเป็นนักเรียน และได้ครองรักกันในที่สุด

คาสุโยชิสารภาพรักต่อมิวาโกะตั้งแต่ที่ยังเรียนหนังสือชั้นมัธยมต้น แน่นอนว่า มิวาโกะต้องตอบปฏิเสธทันที สิบปีต่อมาเมื่อเจริญวัยขึ้น มิวาโกะยอมออกเดทกับคาสุโยชิ คบหาดูใจกัน และแล้วนิยายรักวัยรุ่นปิดฉากด้วยพิธีแต่งงานตามประเพณีอย่างอบอุ่น ทั้งสองครองรักและมีบุตรด้วยกัน 4 คน

จู่ๆ คลื่นสึนามิถล่มเข้ามาฉีกดวงใจและทำลายชีวิตดีๆ ของคุณลุงคาสุโยชิจนย่อยยับ

ในช่วงแรกๆ ที่เขาหมุนโทรศัพท์แห่งสายลมไปสนทนากับภรรยา เขารายงานความคืบหน้าของชีวิตที่เปลี่ยนแปลง อาทิ เขาเพิ่งจะได้ย้ายออกจากที่พักชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัย และลูกชายคนเล็กกำลังสร้างบ้านใหม่ ซึ่งเขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ด้วย ไปช่วยดูแลหลานปู่ และก่อนจะวางหูโทรศัพท์กลับลงไป เขาบอกภรรยาว่าผลตรวจสุขภาพออกมาดี แต่น้ำหนักลดไปบ้าง

“ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี” คาสุโยชิให้สัญญาแก่ภรรยา สายตาจับจ้องมองไปยังสายลมแรงที่กระโชกโยกคลอนยอดไม้ซึ่งแวดล้อมรอบคาเสะ โนะ เดนวะ “ผมดีใจที่เราได้พบกัน ขอบคุณมากนะครับ เราต่างต้องทำสิ่งที่เราพอจะทำได้ แล้วผมจะมาคุยอีกนะครับ”

คาเสะ โนะ เดนวะโทรศัพท์แห่งสายลมที่ไม่ต้องต่อสายเชื่อมกับระบบเครือข่ายใดๆ ในโลกมนุษย์  คาเสะ โนะ เดนวะสดใสในแสงตะวันแห่งฤดูร้อนของเมืองโอสึชิ เมืองที่หยาดน้ำตาของผู้คนยังไม่เหือดแห้ง และโทรศัพท์แห่งสายลมของคุณปู่อิทารุยังโอบกอดต้อนรับทุกคนที่ปรารถนาจะต่อสายแห่งดวงใจไปสนทนากับผู้ล่วงลับอันเป็นที่รักของตน
(ลิงก์วิดีโอของ NHK เกริ่นนำเรื่องราวของโทรศัพท์แห่งสายลม https://www.youtube.com/watch?v=ZhNs_agoJB0)

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า

(ที่มา: รอยเตอร์ ยูทูป และสถานีโทรทัศน์ NHK เอพี เว็บไซต์ allthatsinteresting.com โดย Krissy Howard เว็บไซต์ thisamericanlife.org เว็บไซต์ theatlantic.com เว็บไซต์วิกิพีเดีย)

กำลังโหลดความคิดเห็น