เจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พร้อมผู้ช่วยคนสนิท เอวี เบอร์โควิตซ์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อวานนี้ (31 ม.ค.) จากการที่ทั้งคู่มีบทบาทในการร่วมผลักดันข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอล กับ 4 รัฐอาหรับ หรือที่เรียกกันกว่า “ข้อตกลงอับราฮัม” (Abraham Accords)
บุคคลทั้งสองได้รับการเสนอชื่อโดย อลัน เดอร์โชวิตซ์ (Alan Dershowitz) ทนายความชาวอเมริกัน ซึ่งใช้สิทธิในฐานะที่ตนเองเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณของโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
คุชเนอร์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทำเนียบขาวในยุคของทรัมป์ และ เบอร์โควิตซ์ ซึ่งเป็นอดีตผู้แทนสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง ถือเป็นคีย์แมนที่ช่วยเจรจาหว่านล้อมจนกระทั่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี), บาห์เรน, ซูดาน และ โมร็อกโก ยอมสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติกับอิสราเอล
ข้อตกลงทั้ง 4 ฉบับนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ส.ค. จนถึงกลางเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว และนับเป็นความเคลื่อนไหวทางด้านการทูตครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 25 ปีของกลุ่มชาติตะวันออกกลางที่มุ่งตอบโต้อิทธิพลของอิหร่าน
คุชเนอร์ ได้ออกคำแถลงขอบคุณ และบอกว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งจะมีการประกาศผลในราวๆ เดือน ต.ค.
ทั้งนี้ คาดว่า รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะสั่งให้มีการพิจารณาทบทวนข้อตกลงด้านความมั่นคงทั้งหมดที่กระทำโดยรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงสัญญาจำหน่ายอาวุธให้แก่ยูเออีและซาอุดีอาระเบียด้วย
สมาชิกสภาคองเกรสบางคนไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงในส่วนของโมร็อกโก เนื่องจากรัฐบาลราบัตยื่นเงื่อนไขให้สหรัฐฯ ต้องรับรองอธิปไตยของโมร็อกโกเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
ทรัมป์ พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการพิจารณามอบรางวัลโนเบลแก่อดีตผู้ช่วยทั้งสองคนของเขาด้วย
ที่มา: รอยเตอร์