สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส แถลงถึงความตั้งใจผ่อนคลายข้อจำกัดสกัดโควิด-19 ก่อนคริสต์มาส หลังการแพร่ระบาดระลอกสองบรรเทาลงไป ท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์ในยุโรปที่บังคับใช้มานานหลายสัปดาห์
ความเคลื่อนไหวมีขึ้นในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส รายงานเมื่อวันอังคาร (24 พ.ย.) ว่า ยอดผูุ้เสียชีวิตสะสมของประเทศพุ่งผ่านหลักชัยอันน่าเศร้า 50,000 คน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 458 คน ในรอบ 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 50,237 คน
ในการแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ระบุว่า ร้านค้าทั้งหลายน่าจะกลับมาเปิดบริการได้ในวันเสาร์ (28 พ.ย.) และคำสั่งหยุดอยู่บ้านทั่วประเทศ จะถูกยกเลิกนับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม เป็นต้นไป
“เราจะสามารถเดินทางโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต ในนั้นรวมถึงการเดินทางระหว่างแคว้น และใช้เวลาช่วงคริสต์มาสอยู่กับครอบครัว” มาครงกล่าว แต่บอกว่าจะคงข้อจำกัดบางอย่างเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดระลอก 3
มาตรการล็อกดาวน์ในปัจจุบัน ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม จะถูกแทนที่ด้วยเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ตั้งแต่ 21.00 น. ถึง 07.00 น. เริ่มตั้งแต่ 15 ธันวาคม เป็นต้นไป ยกเว้นวันที่ 24 ธันวาคม วันคริสต์มาสอีฟ และวันที่ 31 ธันวาคม วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
โรงภาพยนตร์, โรงละครและพิพิธภัณฑ์ จะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดบริการในวันที่ 15 ธันวาคม แต่ร้านอาหาร เช่นเดียวกับโรงเรียนระดับมัธยม จะต้องรอจนถึงวันที่ 20 มกราคม และมีเงื่อนไขเดียวคือตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ต้องลดลงต่ำกว่า 5,000 ราย
ส่วนบาร์, คาเฟ่ หรือ ไนต์คลับ ประธานาธิบดี มาครง ไม่ได้กำหนดเป้าหมายอย่างเจาะจง สำหรับวันเวลาที่จะอนุญาตให้กับมาเปิดบริการ
ความเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับทางสหราชอาณาจักร ที่ในวันเดียวกันนี้ ได้แถลงผ่อนคลายข้อจำกัดการพบปะทางสังคมและการเดินทางทั่วประเทศในช่วงคริสต์มาส โดยประชาชนจะได้รับอนุญาตให้พบปะกันสูงสุด 3 ครอบครัว ในช่วงเทศกาลดังกล่าว “ปี 2020 ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เรายอมรับว่ามันเป็นปีที่ยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเราทุกคน” ถ้อยแถลงร่วมจากรัฐบาลอังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง รัฐต่างๆ 16 แห่งของเยอรมนี ตกลงผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการติดต่อทางสังคมลงเล็กน้อยในช่วงคริสต์มาส โดยบรรดามุขมนตรีแห่งรัฐเห็นพ้องอนุญาตเพิ่มเพดานข้อจำกัดการรวมตัวของประชาชนเป็น 10 คน ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม ถึง 1 มกราคม ถือเป็น 2 เท่าของระดับปัจจุบัน
ความหวังที่โรคระบาดใหญ่จะสิ้นสุดลง มีเพิ่มมากขึ้นไปอีกในวันอังคาร (24 พ.ย.) หลังผู้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 สปุตนิก ไฟว์ ของรัสเซีย ระบุว่า มันมีประสิทธิภาพถึง 95% ในการวิเคราะห์ข้อมูลการทดลองทางคลินิกครั้งที่ 2
พวกเขาบอกว่า วัคซีนตัวนี้สามารถจัดเก็บที่อุณหภูมิ 2 หรือ 8 องศาเซลเซียส ผิดกับวัคซีนอื่นๆ บางตัวที่จำเป็นต้องจัดเก็บในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา พวกผู้เชี่ยวชาญตะวันตกต่างพากันแสดงความกังวลเกี่ยวกับวัคซีนของรัสเซีย ด้วยเกรงว่ามอสโกอาจเร่งรีบพัฒนาวัคซีนเร็วเกินไป
เวลานี้วัคซีนหลายๆ ตัวได้ผ่านการทดลองทางคลินิกหรืออยู่ระหว่างการทดลองทางคลิก และมีบางตัวที่มีความคืบหน้าถึงขั้นกำลังขออนุมัติจากสหรัฐฯและยุโรป สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน ในนั้นประกอบด้วยวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค, แอสตราเซเนกา/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และของบริษัท โมเดอร์นา
มุมมองทางบวกเกี่ยวกับวัคซีน ช่วยเริ่มความหวังแก่หมู่มวลมนุษย์ทั่วโลกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เช่นเดียวกับดันตลาดหุ้นต่างๆ พุ่งทะยาน
ในบรัสเซลส์ อียูแถลงว่ากำลังปิดสัญญาที่ 6 สำหรับสั่งจองวัคซีนโควิด-19 โดยหนนี้เป็นการสั่งซื้อจากโมเดอร์นา มูลค่าสูงสุด 160 ล้านยูโร “ทุกรัฐสมาชิกจะได้รับวัคซีนพร้อมกัน บนพื้นฐานของการแบ่งตามสัดส่วน” อัวร์ซูลา แกร์ทรูท ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว
มาครง กล่าวในวันอังคาร (24 พ.ย.) แสดงความหวังว่า จะมีวัคซีนโควิด-19 ใช้ชุดแรกๆ ในช่วงปลายเดือนธันวาคมหรือต้นเดือนมกราคม ส่วนออสเตรีย บอกว่าจะจัดซื้อวัคซีนมากกว่า 16 ล้านโดสผ่านอียู และน่าจะสามารถเริ่มโครงการฉีดวัคซีนได้ในเดือนมกราคม
รัฐบาลสเปน หนึ่งในชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดของยุโรป ระบุเช่นกันว่า จะเริ่มโครงการฉีดวัคซีนในเดือนมกราคม และกลุ่มเป้าหมายลำดับต้นๆ ก็คือ บรรดาผู้พักอาศัยอยู่ตามบ้านพักคนชรา ตามด้วยบุคลากรทางการแพทย์
(ที่มา: เอเอฟพี)