มาเลเซียเตรียมทยอยสั่งปิดโรงงานของบริษัทท็อปโกลฟ (Top Glove) ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของโลก หลังพบคนงานกว่า 2,000 คนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่กระแสข่าวการปิดโรงงานฉุดราคาหุ้นท็อปโกลฟดิ่งลงทันที 7.5% ในวันนี้ (24 พ.ย.)
ท็อปโกลฟทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ สืบเนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ถุงมือแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันที่พุ่งสูงขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
นูร์ ฮิชาม อับดุลเลาะห์ อธิบดีกรมสุขภาพของมาเลเซีย ประกาศว่าโรงงาน 28 แห่งของท็อปโกลฟจะทยอยถูกปิด หลังมีการตรวจพบคนงาน 2,453 รายติดเชื้อโควิด-19 จากทั้งหมด 5,767 รายที่เข้ารับการตรวจคัดกรอง
“พนักงานทุกคนที่มีผลตรวจเป็นบวกถูกส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนบุคคลใกล้ชิดก็เข้าสู่กระบวนการกักกันโรคแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น” นูร์ ฮิชาม ระบุ
ในบรรดาผู้ซึ่งมีผลตรวจเป็นบวก 2,524 รายในคลัสเตอร์นี้ส่วนใหญ่เป็นคนงานในโรงงาน โดยแบ่งออกเป็นชาวต่างชาติ 2,360 คน และชาวมาเลเซีย 164 คน
อิสมาอีล ซาบรี ยาก็อบ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงอาวุโสของมาเลเซีย ระบุว่า รัฐบาลจะทยอยสั่งปิดโรงงานท็อปโกลฟแบบเป็นขั้นเป็นตอนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เอื้อต่อการตรวจคัดกรองและกักกันตัวผู้ติดเชื้อ แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน
ท็อปโกลฟได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ระงับการผลิตที่โรงงาน 16 แห่งตั้งแต่วันพุธที่แล้ว(18) ส่วนที่เหลืออีก 12 แห่งก็ลดกำลังผลิตลงมามากพอสมควร
สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลมาเลเซียได้มีคำสั่งล็อกดาวน์เขตทางตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตและหอพักคนงานของท็อปโกลฟเป็นเวลา 14 วัน จนถึงวันที่ 30 พ.ย.
นักวิเคราะห์คาดว่ามาตรการนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้คาดการณ์ของท็อปโกลฟ แต่อาจต้องประเมินสถานการณ์กันใหม่หากจำนวนผู้ติดเชื้อในโรงงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องขยายข้อจำกัดต่างๆ ออกไปอีก
จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในมาเลเซียมีแนวโน้มกลับมาพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องฟื้นมาตรการจำกัดการเดินทาง โดยยอดผู้ป่วยโควิดสะสมจนถึงวันจันทร์ (23) อยู่ที่ 56,659 ราย
ที่มา: รอยเตอร์