ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล ปิดฉากภารกิจกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันขนานใหญ่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “ปฏิบัติการล้างรถ” (Operation Car Wash) เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) โดยอ้างว่า “ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลอีกต่อไป”
ปฏิบัติการต้านโกงซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ได้นำมาสู่การจับกุม สอบสวน และดำเนินคดีกับผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงการเมืองและธุรกิจของบราซิลหลายราย รวมถึงอดีตประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชน
อย่างไรก็ดี ปฏิบัติการนี้เริ่มติดบ่วงอิทธิพลทางการเมือง และเผชิญเสียงวิจารณ์หนักขึ้นในระยะหลังๆ
โบลโซนารู ซึ่งเป็นผู้นำขวาจัดกล่าวว่ารู้สึก “ภาคภูมิใจ” มากที่ได้เป็นคนสั่งยุติปฏิบัติการนี้
“ผมสั่งยุติปฏิบัติการล้างรถ เพราะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นในรัฐบาลอีกต่อไป” โบลโซนารู แถลงที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงบราซิเลีย ท่ามกลางเสียงปรบมือและหัวเราะชอบใจจากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หลายคน
ปฏิบัติการล้างรถของบราซิลนำไปสู่การเอาผิดพฤติกรรมฟอกเงินของบรรดาคนใหญ่คนโตในแดนแซมบ้า โดยใช้ทั้งการจับกุมและเทคนิคการต่อรองให้รับสารภาพ จนสามารถเปิดโปงขบวนการทุจริตครั้งมโหฬารที่มีทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจร่วมกันยักยอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกไปจากรัฐวิสาหกิจน้ำมันเปโตรบราส (Petrobras)
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาเพื่อแลกกับโทษที่เบาลงสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งละตินอเมริกา หลังมีการเปิดเผยรายชื่อนักการเมืองระดับประเทศหลายคนที่รับสินบนจากบริษัทวิศวกรรมก่อสร้างยักษ์ใหญ่ Odebrecht เพื่อแลกกับการช่วยเหลือเรื่องสัมปทานต่างๆ
แม้จะประสบความสำเร็จในการนำตัวผู้มีอำนาจที่ใครๆ คิดว่า “แตะต้องไม่ได้” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทว่า ระยะหลังกลับมีข้อครหาว่าคณะทำงานปราบทุจริตใช้กลยุทธ์ก้าวร้าวเกินไป จนมีส่วนทำให้บราซิลเกิดวิกฤตด้านเมืองและเศรษฐกิจ และยังละเมิดสิทธิของผู้ต้องสงสัยที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีหลักฐานยืนยันความผิด
ปฏิบัติการล้างรถยังถูกครหาว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หลังมีการเปิดโปงบทสนทนาที่บ่งชี้ว่าพนักงานสอบสวนรวมหัวกันขัดขวางการ “คัมแบ็ก” ของอดีตประธานาธิบดี ลูลา ในศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2018
ที่มา: เอเอฟพี
