รอยเตอร์ - บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐฯ โมเดอร์นา อิงก์ (Moderna Inc) เผยผลการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ในเฟสที่ 1 พบว่ามีความปลอดภัย และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครทั้ง 45 คน และเตรียมเริ่มการทดลองในมนุษย์ขั้นสุดท้ายในวันที่ 27 ก.ค.นี้
ผลการทดลองซึ่งเผยแพร่ในวารสาร New England Journal of Medicine ระบุว่า อาสาสมัครซึ่งได้รับวัคซีน mRNA-1273 ของโมเดอร์นา จำนวน 2 โดส สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่เพิ่งหายจากโรคนี้
วัคซีนตัวนี้ยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยมีผู้ร่วมทดลองเพียงครึ่งหนึ่งที่รู้สึกเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดบริเวณจุดที่ฉีดวัคซีน ส่วนใหญ่จะเกิดหลังจากที่รับวัคซีนโดสที่ 2 หรือในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนในปริมาณมาก
โมเดอร์นา เป็นบริษัทแรกของโลกที่ได้เริ่มต้นทดลองวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในมนุษย์เมื่อวันที่ 16 มี.ค. หรือเพียง 66 วันหลังจากที่มีการเผยแพร่ลำดับสารพันธุกรรมของไวรัสชนิดนี้
ดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งร่วมมือกับโมเดอร์นาในการพัฒนาวัคซีน mRNA-1273 กล่าวชื่นชมผลทดลองในเฟสที่ 1 ว่าเป็น “ข่าวดี” และย้ำว่าวัคซีนตัวนี้สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีที่สามารถฆ่าหรือทำให้เชื้อไวรัสเสื่อมฤทธิ์ลง “ในระดับที่สูงมาก”
ผลการทดลองดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นโมเดอร์นาดีดตัวสูงขึ้นกว่า 15% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการเมื่อวานนี้ (14)
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบสนับสนุนโครงการพัฒนาวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวงเงินสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์ และได้เลือกวัคซีนของบริษัทนี้เป็นชนิดแรกๆ ที่เข้าสู่กระบวนการทดลองขนาดใหญ่ในมนุษย์
สำหรับวัคซีน mRNA-1273 นั้นมีพื้นฐานมาจากกรดไรโบนิวคลีอิก (Ribonucleic acid – RNA) ซึ่งทำหน้าที่ในการสังเคราะห์โปรตีน เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายมนุษย์ วัคซีนตัวนี้จะสั่งการให้เซลล์ผลิตโปรตีนที่เลียนแบบเปลือกหุ้มของไวรัสโคโรนาซึ่งร่างกายรับรู้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาป้องกันตัวเอง
โมเดอร์นา เริ่มทดลองวัคซีนเฟสที่ 2 เมื่อเดือน พ.ค. และคาดว่าจะเริ่มการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายในวันที่ 27 ก.ค. โดยใช้อาสาสมัครราว 30,000 คน
สำหรับการทดลองเฟสแรกนั้นมีจุดประสงค์เพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยของวัคซีนและช่วยให้ทีมวิจัยสามารถกำหนดปริมาณโดสที่เหมาะสม ส่วนเฟสที่ 2 เป็นการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครขนาดใหญ่ขึ้น และในเฟสที่ 3 จะทดลองกับประชากรจำนวนมากเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและระบุผลข้างเคียงที่พบได้ยาก