รอยเตอร์ – เศรษฐกิจออสเตรเลียซึ่งกำลังเผชิญภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบ 30 ปีจากผลกระทบของโควิด-19 จะยิ่งพังหนักเข้าไปอีก หากนักศึกษาชาวจีนเชื่อคำเตือนของปักกิ่งไม่มาสมัครเรียนในแดนจิงโจ้เนื่องจากกลัวการเหยียดผิว รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ออสเตรเลียระบุวันนี้ (10 มิ.ย.)
การศึกษานานาชาติถือเป็นอุตสาหกรรมที่ดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าออสเตรเลียได้มากเป็นอันดับ 4 คืออยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี และสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจยิ่งกว่า “เนื้อวัว” หรือ “ข้าวบาร์เลย์” ซึ่งถูกจีนสั่งห้ามนำเข้าและขึ้นภาษีเมื่อเดือนที่แล้วเสียอีก
จีนนอกจากจะเป็นประเทศคู่ค้าเบอร์หนึ่งของออสเตรเลียแล้ว และยังเป็นแหล่งที่มาของนักศึกษาต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดด้วย โดยจากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาพบว่า นักศึกษาชาวจีนคิดเป็น 37.3% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด 442,209 คนในสถาบันอุดมศึกษาทั่วแดนจิงโจ้เมื่อปี 2019
เมื่อวานนี้ (9) กระทรวงการศึกษาของจีนได้ประกาศเตือนนักศึกษาให้ทบทวนการเดินทางไปศึกษาต่อในออสเตรเลีย เนื่องจากมีรายงานการเหยียดเชื้อชาติชาวเอเชียเพิ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลจีนก็ได้เตือนพลเมืองของตนให้งดเดินทางไปท่องเที่ยวในออสเตรเลีย
“มหาวิทยาลัยของเราจะรับรู้ถึงผลกระทบอย่างแน่นอน หากจำนวนนักศึกษาต่างชาติลดลง” ไซมอน เบอร์มิงแฮม รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ออสซี่ แถลงต่อสื่อมวลชน พร้อมย้ำว่านักศึกษาชาวจีนก็จะพลอยเสียโอกาสไปด้วย “ซึ่งไม่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างเราทั้ง 2 ประเทศเลย”
เบอร์มิงแฮม ยืนยันวานนี้ (9) ว่า ออสเตรเลีย “ไม่อดทน” กับการแบ่งแยกเหยียดผิว และมีมาตรการป้องกันปัญหานี้อยู่แล้ว
ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียเสื่อมทรามลงมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยจีนถูกครหาว่าแทรกแซงกิจการภายในของแดนจิงโจ้ และพยายามสยายอิทธิพลในภูมิภาคแปซิฟิก
ล่าสุด รัฐบาลออสซี่ยังเรียกร้องให้ประชาคมโลกสอบสวนหาต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จนทำให้ เฉิง จิ่งเย่ (Cheng Jingye) เอกอัครราชทูตจีนประจำออสเตรเลีย ตอบโต้ด้วยการรณรงค์ให้ผู้บริโภคชาวจีนบอยค็อตต์เนื้อวัว, ไวน์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวและศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของออสเตรเลีย