พบเด็กเล็กเสียชีวิตจากอาการลึกลับ นิวยอร์กชี้เชื่อมโยงกับไวรัสโคโรนา

รอยเตอร์ - ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เผย เด็ก 3 คนเสียชีวิตจากกลุ่มอาการอักเสบที่พบไม่บ่อยนัก และเชื่อว่า เชื่อมโยงกับไวรัสโคโรนา ซึ่งหากเป็นจริงจะเท่ากับว่า เด็กเล็กไม่ได้มีความเสี่ยงจากโรคระบาดน้อยกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ แบบที่เคยคิดกัน

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 พ.ค.) ทั้ง แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก และ ฟิล เมอร์ฟีย์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ต่างกล่าวถึงโรคระบาดที่ส่งผลกระทบทางจิตใจมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทั้งคู่คำนึงถึงระหว่างการพิจารณาเพื่อผ่อนคลายมาตรการจำกัดบางอย่าง เช่นเดียวกับปัญหาจำนวนคนว่างงานที่เพิ่มขึ้น

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐเกือบทั้งหมดจาก 50 รัฐของอเมริกา จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งรวมถึงแอริโซนา และ มิสซิสซิปปี ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น ตอกย้ำความเสี่ยงในการระบาดรอบสอง

ระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ คูโอโมแสดงความกังวลเกี่ยวกับอาการที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มอาการท็อกซิกช็อก และโรคคาวาซากิ โดยขณะนี้มีเด็ก 3 คน ซึ่งรวมถึงเด็กอายุ 5 ปี ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ค.) ที่เสียชีวิตจากกลุ่มอาการนี้ รวมทั้งได้ผลตรวจโควิด-19 หรือสารแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นบวก บ่งชี้ความเชื่อมโยงซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด

คูโอโมที่กลายเป็นหนึ่งในผู้นำการรับมือวิกฤตไวรัสโคโรนาของอเมริกา เสริมว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐกำลังตรวจสอบผู้ป่วยเด็กที่มีอาการคล้ายกันอีก 73 คน ซึ่งถือเป็นการท้าทายสมมติฐานก่อนหน้านี้ ว่า เด็กส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงติดไวรัสโคโรนา

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กยังบอกอีกว่า ขณะนี้พบทั้งเด็กวัยหัดเดิน และเด็กนักเรียนชั้นประถม มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิ หรือกลุ่มอาการท็อกซิกช็อก คือ มีไข้ เป็นผื่นที่ผิวหนัง และในกรณีที่มีอาการรุนแรงจะมีการอักเสบในหลอดเลือดและหัวใจ โดยเป็นไปได้มาก ว่า สถานการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ไม่มีการวินิจฉัยว่าเกี่ยวข้องกับโควิด

อย่างไรก็ดี นักวิจัยกำลังพยายามหาคำตอบว่า กลุ่มอาการเหล่านี้เชื่อมโยงกับไวรัสโคโรนาหรือไม่ เนื่องจากมีเด็กบางคนเท่านั้นที่ตรวจพบว่า ติดเชื้อโควิด-19

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของนิวยอร์กกำลังร่วมกับศูนย์จีโนมนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยร็อกกีเฟลเลอร์ เพื่อตรวจสอบว่า กลุ่มอาการนี้มีพื้นฐานทางพันธุกรรมหรือไม่ รวมทั้งได้รับการร้องขอจากศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของรัฐบาลกลาง ให้พัฒนาเกณฑ์มาตรฐานสำหรับภายในประเทศในการระบุและรักษาผู้ป่วยที่มีอาการนี้

ในวันเดียวกัน เมอร์ฟีย์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ แถลงข่าวการเสียชีวิตของเด็กวัย 4 ขวบ ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการประหลาดดังกล่าว

ทั้งนี้ นิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์เป็นศูนย์กลางการระบาดในอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตรวมกันเกือบครึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งหมดในสหรัฐฯ 77,737 คน และยังเป็นสองรัฐที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดที่สุด

สองรัฐนี้ยังได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักหน่วงที่สุด จากข้อมูลที่รัฐบาลอเมริกาเปิดเผยเมื่อวันศุกร์พบว่า อัตราว่างงานทั่วประเทศพุ่งขึ้นเป็น 14.7% ในเดือนเมษายน เพิ่มจาก 3.5% ในเดือนกุมภาพันธ์ และทำลายสถิติสูงสุดนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำไว้ที่ 10.8% ในเดือนพฤศจิกายน 1982

คูโอโมเผยว่า ในนิวยอร์กมีรายงานปัญหาสุขภาพจิต การใช้สารเสพติด และความรุนแรงในครัวเรือนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความเครียดทางเศรษฐกิจและการกักตัวตามมาตรการล็อกดาวน์

ขณะเดียวกัน ผลศึกษาของเวลล์ บีอิ้ง ทรัสต์ และสมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวของอเมริกาที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ประเมินว่า อาจมีคนฆ่าตัวตาย เสพยา และปัจจัยอื่นๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างสิ้นหวังที่เกิดจากวิกฤตโรคระบาดถึง 75,000 คน

คูโอโมสำทับว่า ภายในรัฐมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น 226 คนในวันศุกร์ เทียบกับ 216 คนในวันก่อนหน้า (7 พ.ค.) แต่ไม่ถึงครึ่งของสถิติสูงสุดเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่จำนวนผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจลดลงต่อเนื่อง

รัฐนิวเจอร์ซีย์พบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 166 คน รวมเป็น 9,116 คน ส่วนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,759 คน เป็น 137,085 คน ขณะที่จำนวนผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกับนิวยอร์ก ถึงกระนั้น เมอร์ฟีย์เตือนประชาชนว่า ยังประมาทไม่ได้และยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคมต่อไป