รอยเตอร์ – องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนวานนี้ (1 พ.ค.) ให้รัฐบาลทุกประเทศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์แบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และพร้อมนำข้อจำกัดต่างๆ กลับมาใช้ทันทีหากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดซ้ำ
ดร. ไมค์ ไรอัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขของ WHO ระบุว่า ประชากรกลุ่มเสี่ยงในสถานพยาบาล, เรือนจำ หรือหอพักแรงงานต่างด้าว จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง และต่อให้ควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้แล้ว แต่ชุมชนก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม รักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด และมีการตรวจหาผู้ติดเชื้อต่อไป
“เป็นเรื่องสำคัญมากที่ทุกๆ ประเทศซึ่งตัดสินใจคลายมาตรการล็อคดาวน์จะต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่เชื้อในสถานที่พิเศษต่างๆ” ไรอัน ระบุ พร้อมอ้างถึงการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในตามสถานสงเคราะห์คนชราในยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมถึงในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่สิงคโปร์
“เพียงการชุดชนวนเล็กๆ ในสถานที่เหล่านี้ก็อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว” เขาเตือน
ไรอัน ชี้ว่า WHO ตระหนักดีถึงปัญหาที่รัฐบาลทั่วโลกต้องเผชิญในการคงคำสั่งปิดเมือง “ด้วยเหตุผลทางด้านสังคม จิตวิทยา และเศรษฐกิจ”
“เราจึงพยายามคิดหาหนทางที่จะควบคุมโรคระบาดด้วยมาตรการที่เบาลง แต่ในขณะเดียวกันเราก็จำเป็นต้องระวังว่า การผ่อนคลายที่เร็วและง่ายเกินไปอาจทำให้ไวรัสกลับมาระบาดซ้ำอย่างรุนแรง และเมื่อนั้นเราจะต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมด”
สำหรับประเด็นเรื่องต้นตอของเชื้อโควิด-19 ซึ่งเริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่นของจีนเมื่อกลางเดือน ธ.ค. ไรอัน ย้ำว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ตรวจสอบลำดับพันธุกรรมของไวรัสตัวนี้ยืนยันกับ WHO ว่ามันมีต้นกำเนิด “ในธรรมชาติ”
ด้าน เทดรอส อาดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO ยืนยันว่า การประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลกในวันที่ 30 ม.ค. นั้นไม่ได้ช้าเกินไป และรัฐบาลทั่วโลกมีเวลามากพอที่จะเตรียมการรับมือ เนื่องจากตอนนั้นยอดผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนยังอยู่แค่ 82 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิตเลย
เมื่อถูกถามเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ชาติผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดซึ่งได้ประกาศตัดเงินช่วยเหลือ WHO ไปแล้วเนื่องจากไม่พอใจวิธีจัดการโรคระบาด เทดรอส ก็ตอบว่า “เรายังคงติดต่อกันและทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ” แต่ก็ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม