xs
xsm
sm
md
lg

โลกช่วยลุ้น!! สหรัฐฯอนุมัติใช้ยา ‘เรมเดซิเวียร์’ รักษาคนไข้โควิด-19 หลังทดลองเห็นผล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รอยเตอร์ - สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ กิลเลียด ไซเอนเซส อิงค์ บริษัทเภสัชกรรมยักษ์ใหญ่ สำหรับใช้ “เรมเดซิเวียร์” ยาทดลองต่อต้านไวรัส ในกรณีฉุกเฉิน รักษาคนไข้โควิด-19 จากการเปิดเผยในวันศุกร์ (1 พ.ค.)

ระหว่างพบปะกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ดาเนียล โอเดย์ ซีอีโอของกิลเลียด เรียกความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ว่า เป็นก้าวย่างแรกที่สำคัญ และบอกว่าทางบริษัทกำลังบริจาคยา 1.5 ล้านขวดสำหรับช่วยรักษาคนไข้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

“เราขอพูดอย่างถ่อมตัวว่านี่เป็นเพียงก้าวย่างแรกที่สำคัญสำหรับคนไข้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล เราต้องการมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมาขวางทางคนไข้จากการได้รับยา ดังนั้น เราจึงตัดสินใจบริจาคยาราว 1.5 ล้านขวด”

กิลเลียด ระบุเมื่อวันพุธ (29 เม.ย.) ว่า ยาตัวนี้สามารถช่วยให้คนไข้ที่ติดเชื้อโควิด-19 อาการดีขึ้น และข้อมูลที่พบบ่งชี้ว่ามันจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากว่าผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่เนิ่นๆ

ยาเรมเดซิเวียร์ ของ กิลเลียด ไซเอนเซส อิงค์ ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาและวิธีการรักษาใดที่ได้รับการอนุมัติ ขณะที่ยาหลากหลายตัวที่อยู่ภายใต้การศึกษา มีผลการทดลองออกมาผสมผสาน

เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ นายแพทย์ แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นไอเอไอดี) และเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาสำคัญของคณะบริหารทรัมป์ในการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ยกย่อง “เรมเดซิเวียร์” เป็นยาตัวแรกที่แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์ “อย่างชัดเจน” ในการรักษาโรคปอดบวมโควิด-19 โดยหลังผลการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่อย่างเข้มงวด พบผู้ป่วยที่ใช้ยานี้สามารถฟื้นตัวหายได้เร็วขึ้นกว่า 30%

สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นไอเอไอดี) ซึ่งกำกับดูแลการทดลองนี้เปิดเผยเมื่อวันพุธ (29 เม.ย.) ว่า ผู้ป่วยที่ใช้ยาเรมเดซิเวียร์ ใช้เวลาในการฟื้นจากการวยเฉลี่ยแล้ว 11 วัน เปรียบเทียบกับ 15 วันสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก เท่ากับหายเร็วขึ้นกว่า 31%

“ถึงแม้ระยะเวลาที่กระเตื้องขึ้นมา 31% ยังไม่ใช่ดูเหมือนเป็นการน็อกเอาต์โรคอย่าง 100% เต็ม แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญมาก เพราะมันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มียาที่สามารถสกัดกั้นไวรัสนี้ได้” นายแพทย์ แอนโธนี เฟาซี กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว

นอกจากนั้น ผลการทดลองนี้ยังบ่งชี้ว่า ผู้ใช้ยานี้มีแนวโน้มเสียชีวิตน้อยลง แม้จะไม่มากนักก็ตาม กล่าวคือ อัตราการเสียชีวิตสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเรมเดซิเวียร์อยู่ที่ 8% เทียบกับ 11.6% สำหรับกลุ่มที่ได้ยาหลอก

การทดลองนี้เริ่มต้นในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่าง 1,063 คน ใน 63 สถานที่ในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย

ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ต่างไม่รู้ว่า ตนอยู่ในกลุ่มที่ได้รับยาจริงหรือยาหลอกเพื่อไม่ให้เกิดอคติโดยไม่รู้ตัว

ก่อนหน้านี้ มีรายงานสรุปผลการทดลองโพสต์บนเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ “แลนสิท” วารสารการแพทย์ชื่อดังของอังกฤษได้ตีพิมพ์ผลการทดลองอย่างเป็นทางการในวันพุธ (29) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การทดลองใช้ยาเรมเดซิเวียร์ ที่ทำกันในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่มีจำนวนตัวอย่างคนไข้น้อยกว่าคือ 237 คน พบว่ามันไม่ได้ให้ผลบวกใดๆ ยกเว้นในรายคนไข้ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

แต่การทดลองในจีนต้องหยุดชะงักไปก่อนกำหนด เพราะหาตัวอย่างผู้ป่วยได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมองว่าขนาดการทดลองเล็กเกินกว่าที่จะเชื่อถือได้

อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับการชื่นชมยินดีจากนักวิจัยจำนวนมาก แต่ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญหลายราย อาทิ สตีเฟน อีแวนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติการแพทย์ของลอนดอน สกูล ออฟ ไฮยีน แอนด์ ทรอปิคัล เมดิซิน ว่า ผลการทดลองนี้เป็นเพียงหลักฐานชิ้นแรกว่า ยาเรมเดซิเวียร์มีประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ไม่ถือว่า มีประสิทธิภาพโดดเด่นอย่างชัดเจน

ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯบอกว่า ยา 1.5 ล้านขวด จะเริ่มแจกจ่ายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ตั้งแต่วันจันทร์ (4 พ.ค.) เป็นต้นไป


กำลังโหลดความคิดเห็น