xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อเริ่มเกิดโรคระบาดที่‘อู่ฮั่น’นั้น ‘จีน’ปล่อยเวลาผ่านไป 6 วันโดยไม่ได้เตือนภัยประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สำนักข่าวเอพี


ภาพที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซินหวาของทางการจีนเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2020 ขณะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดสื่อสารผ่านทางวิดีโอกับพวกคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลหั่วเสินซาน ในเมืองอู่ฮั่น

China didn’t warn public of likely pandemic for 6 key days
By The Associated Press
16/04/2020


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกมาเตือนประชาชนเกี่ยวกับโรคระบาดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันที่ 20 มกราคม หลังจากปักกิ่งทราบเรื่องนี้แล้ว 6 วัน

ในช่วง 6 วันหลังจากพวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปของจีนมีข้อวินิจฉัยกันอย่างลับๆ ออกมาว่า พวกเขาน่าจะกำลังเผชิญโรคระบาดร้ายแรงจากไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ นครอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเชื้อโรคติดต่อนี้ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงมวลชนที่มีผู้คนเข้าร่วมหลายหมื่นคน ขณะเดียวกันประชาชนอีกหลายล้านคนก็เริ่มต้นออกเดินทางไปไหนต่อไหนเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกมาเตือนสาธารณชนในวันที่ 7 นั่นคือ วันที่ 20 มกราคม แต่เมื่อถึงเวลานั้น มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 3,000 คนแล้วในระหว่างระยะเวลาเกือบๆ 1 สัปดาห์ที่ทางการปิดปากเงียบ ทั้งนี้ตามเอกสารภายในหลายๆ ฉบับซึ่งสำนักข่าวเอพีได้รับมา รวมทั้งจากการประมาณการของพวกผู้เชี่ยวชาญโดยอิงอยู่กับการศึกษาย้อนหลังพวกข้อมูลการติดต่อของโรค

ช่วงเวลา 6 วัน

การชะลอเวลาจากวันที่ 14 มกราคม ไปเป็นวันที่ 20 มกราคม ไม่ได้เป็นความผิดพลาดครั้งแรกของพวกเจ้าหน้าที่จีนในทุกๆ ระดับในการรับมือเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดครั้งนี้ และก็ไม่ใช่การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปครั้งที่ยาวนานที่สุดด้วยเหมือนกัน ทั้งนี้พวกรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกก็ได้มีการอ้อยอิ่งเชื่องช้ากันอยู่เป็นสัปดาห์ๆ และกระทั่งเป็นเดือนๆ ในการต่อสู้รับมือกับไวรัสนี้

แต่การชะลอเวลาของประเทศแรกที่เผชิญหน้ากับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ บังเกิดขึ้นในห้วงจังหวะแห่งความเป็นความตายอย่างแท้จริง นั่นคือ ในช่วงเริ่มต้นของการระบาด การที่จีนพยายามที่จะสร้างความสมดุลอย่างยากลำบากระหว่างการเตือนภัยให้สาธารณชนตื่นตัว แต่เวลาเดียวกันก็ต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้สาธารณชนเกิดความตื่นตระหนกด้วยนั้น กลายเป็นการปล่อยเวลาให้แก่โรคระบาดใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้ออกฤทธิ์ทำให้ผู้คนทั่วโลกติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 2 ล้านคน และคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเกินกว่า 150,000 คนแล้ว

จั๋วเฟิง จาง (Zuo-Feng Zhang) นักระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแองเจลิส ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารมาก “ถ้าพวกเขาลงมือทำอะไรตั้งแต่ 6 วันก่อนหน้า ก็จะมีคนป่วยน้อยกว่านี้มาก และโรงพยาบาลสถานที่ทางการแพทย์ก็จะยังเพียงพอที่จะรับมือ เราน่าจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ระบบทางการแพทย์ของอู่ฮั่นพังครืนลงมาได้”

พวกผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ชี้ว่า รัฐบาลจีนอาจจะเลื่อนเวลาที่จะเตือนสาธารณชนออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการประสาทหวาดผวา โดยที่ในระหว่างเวลานั้นจีนก็ได้ลงมือทำอะไรอย่างเป็นการภายในได้รวดเร็วทีเดียว

ทว่าช่วงเวลา 6 วันที่ชะลออกไปโดยพวกผู้นำของจีนในปักกิ่งนี้ บังเกิดขึ้นต่อจากระยะเวลาเกือบๆ 2 สัปดาห์ซึ่งในระหว่างนั้น ศูนย์กลางเพื่อการควบคุมโรคติดต่อ (Center for Disease Control หรือ ซีดีซี) ที่เป็นหน่วยงานระดับชาติของจีน ไม่ได้มีการจดบันทึกเคสผู้ป่วยด้วยไวรัสนี้จากรายงานของพวกเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นเลย บันทึกภายในต่างๆ ที่เอพีได้มายืนยันข้อมูลเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ในระหว่างเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ดังกล่าว คือจากวันที่ 5 มกราคม ถึง 17 มกราคม มีผู้ป่วยเป็นร้อยๆ คนปรากฏขึ้นตามโรงพยาบาลต่างๆ ไม่เพียงเฉพาะแค่ที่อู่ฮั่น แต่ตามเมืองอื่นๆทั่วประเทศจีน

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นคือพวกที่บกพร่องล้มเหลวไม่รายงานเคสที่เกิดขึ้นเหล่านี้ หรือว่าเป็นความบกพร่องล้มเหลวของพวกเจ้าหน้าที่ระดับชาติที่ไม่บันทึกเคสพวกนี้เอาไว้ นอกจากนั้นก็ไม่เป็นที่ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าพวกเจ้าหน้าที่รู้อะไรกันแน่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอู่ฮั่น ณ เวลานั้น โดยที่เมืองนี้ก็เพิ่งคลายการล็อกดาวน์เปิดประตูออกมาใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง หลังจากถูกกักกันโรคถูกจำกัดการเดินทางเข้าออก

แต่พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็คือ ด้วยการที่จีนควบคุมเรื่องข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มงวด, บวกกับอุปสรรคเครื่องกีดขวางของระบบราชการ, ตลอดจนความลังเลไม่ค่อยอยากจะส่งข่าวร้ายขึ้นไปตามสายการบังคับบัญชา เหล่านี้ล้วนมีผลในทางทำให้เกิดการอุบเงียบไม่มีการเตือนภัยตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งเมื่อมีการลงโทษแพทย์จำนวน 8 คนด้วยข้อหา “แพร่กระจายข่าวลือ” โดยมีการรายงานข่าวกันทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในวันที่ 2 มกราคมด้วยแล้ว มันก็กลายเป็นการส่งความหนาวยะเยือกให้แผ่ซ่านไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ของอู่ฮั่น

“พวกหมอในอู่ฮั่นต่างพากันหวาดกลัว” ตาหลี่ หยาง (Dali Yang) อาจารย์ทางด้านการเมืองจีน ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก ให้ทัศนะ “มันเป็นการขู่ขวัญอย่างแท้จริงต่อวิชาชีพนี้อย่างเบ็ดเสร็จ”

เมื่อไม่มีรายงานเกี่ยวกับเคสภายในประเทศ ก็ต้องรอจนกระทั่งเกิดเคสแรกนอกประเทศจีนขึ้นมา ซึ่งก็คือในประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 มกราคมนั่นแหละ จึงกระตุ้นให้พวกผู้นำในปักกิ่งต้องยอมรับความเป็นจริงว่าสิ่งที่อาจกลายเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่นั้น กำลังปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว จวบจนกระทั่งถึงตอนนั้นแหละที่พวกเขาเริ่มต้นดำเนินแผนการค้นหาผู้ติดเชื้อในระดับทั่วประเทศ –ทั้งด้วยการแจกจ่ายชุดตรวจทดสอบที่ผ่านการรับรองของซีดีซี, การผ่อนคลายหลักเกณฑ์สำหรับยืนยันเคส, และการสั่งให้พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการคัดกรองผู้ป่วย พวกเขายังชี้นำบรรดาเจ้าหน้าที่ในมณฑลหูเป่ย ซึ่งมีอู่ฮั่นเป็นเมืองเอก ให้เริ่มต้นตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายผู้โดยสารที่ศูนย์คมนาคมต่างๆ และลดทอนยกเลิกการชุมนุมผู้คนขนาดใหญ่ๆ ทั้งนี้พวกเขากระทำเรื่องทั้งหมดเหล่านี้โดยที่ยังไม่ได้แถลงอะไรต่อสาธารณชนเลย

รัฐบาลจีนนั้นปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้มีการระงับยับยั้งไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในวันแรกๆ ที่เกิดการระบาด โดยบอกว่าจีนได้รายงานเรื่องการระบาดในองค์การอนามัยโลกทราบในทันที

“พวกที่กำลังกล่าวหาจีนว่าขาดไร้ความโปร่งใสและไม่มีการเปิดกว้างนั้น ไม่มีความเป็นธรรมเลย” เจ้า ลี่เจียน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวในวันที่ 15 เมษายน เมื่อถูกสอบถามความเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ของเอพี ที่ได้มีการเผยแพร่ออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้น

***********

เอกสารต่างๆ ที่เอพีได้รับมาแสดงให้เห็นว่า หม่า เสี่ยวเว่ย (Ma Xiaowei) ประธานของคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน (China's National Health Commission) ได้ประเมินสถานการณ์เอาไว้อย่างเลวร้ายน่ากลัวมากเมื่อวันที่ 14 มกราคม ในการประชุมทางเทเลคอนเฟอเรนซ์แบบปิดลับ กับพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับมลฑล มีบันทึกภายในฉบับหนึ่งระบุว่าการประชุมทางเทเลคอนเฟอเรนซ์คราวนั้นจัดขึ้นเพื่อแจ้งให้ทราบถึงคำชี้แนะว่าด้วยไวรัสโคโรนา ซึ่งมีทั้งที่มาจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง, นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง, และรองนายกรัฐมนตรี ซุน ชุนหลาน (Sun Chunlan) แต่ไม่ได้มีการระบุเจาะจงว่าคำชี้แนะเหล่านี้มีเนื้อหาว่าอย่างไร

“สถานการณ์การระบาดยังคงร้ายแรงและสลับซับซ้อน นับเป็นความท้าทายที่สาหัสร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ครั้งโรคซาร์สเมื่อปี 2003 เป็นต้นมา และน่าที่จะพัฒนาต่อไปจนกระทั่งกลายเป็นเหตุการณ์สาธารณสุขที่ใหญ่โตเรื่องหนึ่ง” บันทึกภายในฉบับดังกล่าวอ้างอิงว่า หม่าพูดเอาไว้เช่นนี้

คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาตินั้น คือหน่วยงานด้านการแพทย์ระดับสูงสุดในประเทศจีน ในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ถูกส่งออกไปทางแฟกซ์ คณะกรรมการกล่าวว่าได้จัดการประชุมแบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ครั้งนี้ขึ้นมา เนื่องจากเคสที่รายงานว่าพบในไทย รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ไวรัสกำลังแพร่กระจายออกไปในระหว่างการเดินทางช่วงตรุษจีน คำแถลงฉบับนี้กล่าวด้วยว่า จีนได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดใน “ลักษณะที่เปิดเผย, โปร่งใส, รับผิดชอบ, และทันการณ์” ซึ่งก็สอดคล้องกับ “คำชี้แนะสำคัญๆ” ที่ออกมาหลายครั้งโดยประธานาธิบดีสี

เอกสารเหล่านี้มาจากแหล่งข่าวในแวดวงการแพทย์ที่ขอให้สงวนนามเนื่องจากหวาดกลัวจะถูกเล่นงานลงโทษ ทางเอพีได้รับคำยืนยันเนื้อหาของเอกสารเหล่านี้ว่าถูกต้องจากแหล่งข่าวอื่นๆ ในแวดวงสาธารณสุขอีก 2 รายซึ่งคุ้นเคยกับเทเลคอนเฟอเรนซ์ครั้งนี้ เนื้อหาบางส่วนของบันทึกภายในฉบับนี้ยังปรากฏอยู่ในรายงานข่าวสั้นๆ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับเทเลคอนเฟอเรนซ์คราวนี้ แต่ตัดเอารายละเอียดสำคัญๆ ออกไป และเผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

ในหัวข้อย่อยที่ใช้ชื่อหัวข้อว่า “ทำความเข้าใจอย่างสุขุมเกี่ยวกับสถานการณ์” บันทึกภายในฉบับนี้กล่าวว่า “เคสผู้ป่วยที่อยู่ในลักษณะเป็นกลุ่มก้อน บ่งบอกให้ทราบว่ามีความเป็นไปได้ที่มีการติดต่อถายทอดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์” นอกจากนั้นยังระบุเจาะจงถึงเคสในประเทศไทย โดยกล่าวว่าสถานการณ์ “ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสำคัญยิ่ง” เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ไวรัสนี้จะแพร่กระจายในต่างประเทศ

“จากการที่เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (Spring Festival หมายถึงเทศกาลตรุษจีน -ผู้แปล) กำลังเวียนมาถึง ผู้คนจำนวนมากจะพากันเดินทาง และความเสี่ยงที่จะเกิดการติดต่อและแพร่กระจายก็สูงมาก” บันทึกภายในฉบับนี้กล่าวต่อ “ท้องที่ทุกๆ แห่งจะต้องเตรียมตัวเอาไว้และตอบโต้รับมือกับโรคระบาดใหญ่”

ในบันทึกภายในฉบับนี้ หม่าเรียกร้องพวกเจ้าหน้าที่ให้สามัคคีกันรอบๆ สี และต้องมีความชัดเจนว่าข้อคำนึงทางการเมืองและเสถียรภาพทางสังคม คือเรื่องที่มีลำดับความสำคัญสูง ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้าจะถึง 2 การประชุมทางการเมืองประจำปีครั้งใหญ่ที่สุดของจีนในเดือนมีนาคม (ผู้ที่ติดตามการเมืองจีน ย่อมทราบว่าหมายถึง การประชุมของสภาปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีน และการประชุมเต็มคณะของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือรัฐสภา ของจีน ซึ่งทุกปีจะจัดขึ้นต่อเนื่องกัน –ผู้แปล) ขณะที่เอกสารเหล่านี้ไม่ได้ระบุออกมาชัดๆ ว่าทำไมพวกผู้นำจีนจึงต้องรออยู่ 6 วันกว่าที่จะแถลงความห่วงกังวลของพวกตนให้สาธารณชนทราบ แต่เรื่องการประชุม 2 สภานี้ก็อาจจะเป็นเหตุผลประการหนึ่งก็ได้

“การให้ความสำคัญกับเรื่องเสถียรภาพทางสังคม เพื่อไม่ให้เกิดการชักใบให้เรือเสีย ก่อนหน้าการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญของพรรคเหล่านี้ ถือกันเป็นเรื่องเคร่งครัดจริงจังมาก” แดเนียล แมตทิงลีย์ (Daniel Mattingly) นักวิชาการด้านการเมืองจีน ณ มหาวิทยาลัยเยล ให้ความเห็น “ผมขอเดาว่า พวกเขาคงต้องการปล่อยให้เรื่องคลี่คลายไปอีกสักหน่อย เพื่อดูให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ”

หลังจากการประชุมเทเลคอนเฟอเรนซ์แล้ว ซีดีซีซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่งได้มีการตอบสนองต่อผลของการหารือ โดยริเริ่มจัดตั้งหน่วยงานตอบโต้ฉุกเฉินระดับสูงสุด เพื่อดำเนินการตอบโต้ในระดับที่ 1 ขึ้นมาเป็นการภายใน เมื่อวันที่ 15 มกราคม นอกจากนั้นยังมีการมอบหมายให้พวกผู้นำระดับสูงของ ซีดีซี เข้าอยู่ในกลุ่มปฏิบัติงานรวม 14 กลุ่ม ซึ่งมีภาระหน้าต่างๆ ทั้งเรื่องการหาเงินทุน, การฝึกอบรมบุคลากรทางสาธารณสุข, การรวบรวมข้อมูล, การสืบสวนติดตามภาคสนาม, และการกำกับตรวจสอบห้องแล็บต่างๆ รายงานภายในของซีดีซีฉบับหนึ่งระบุ

คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติยังได้แจกจ่ายเอกสารรวบรวมคำชี้แนะชุดหนึ่งจำนวน 63 หน้าให้แก่พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับมณฑล ซึ่งเอพีก็ได้เอกสารชุดนี้เช่นกัน คำชี้แนะเหล่านี้สั่งการพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศให้แยกแยะหาเคสที่ต้องสงสัย, ให้โรงพยาบาลต่างๆ เปิดคลินิกรักษาอาการไข้, และให้แพทย์และพยาบาลสวมใส่ชุดป้องกันโรค เอกสารพวกนี้ประทับตรา “เป็นการภายใน” – “ไม่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต”, “ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนวงกว้าง”

อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่แถลงต่อสาธารณชน พวกเจ้าหน้าที่ยังคพยายามลดทอนน้ำหนักของภัยคุกคามนี้ต่อไป โดยชี้ไปที่จำนวนผู้ป่วยที่ในเวลานั้นยังคงเปิดเผยต่อสาธารณชนเพียงแค่ 41 ราย

“เราสามารถทำความเข้าใจล่าสุดได้ว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดการติดต่อระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์อย่างยืนยาวนั้นอยู่ในระดับต่ำ” หลี่ ฉิว์น (Li Qun) ผู้อำนวยการของศูนย์ฉุกเฉินของ ซีดีซี จีน บอกกับสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของทางการจีนในวันที่ 15 มกราคม นั่นเป็นวันเดียวกับที่ หลี่ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มปฏิบัติกลุ่มหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ตระเตรียมแผนการฉุกเฉินต่างๆ สำหรับการตอบโต้รับมือในระดับที่ 1 รายงานของซีดีซีฉบับหนึ่งระบุ

ในวันที่ 20 มกราคม ประธานาธิบดีสี ออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณชนเกี่ยวกับไวรัสนี้เป็นครั้งแรกของเขา โดยกล่าวว่า การระบาดครั้งนี้ “ต้องรับมือกันอย่างจริงจัง” และต้องติดตามมองหามาตรการที่เป็นไปได้ทุกๆ อย่าง จง หนานซาน (Zhong Nanshan) นักระบาดวิทยาชั้นนำคนหนึ่งของจีน ประกาศเป็นครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่า ไวรัสนี้สามารถติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้

ถ้าหากสาธารณชนได้รับการเตือนภัยก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ เพื่อให้ลงมือปฏิบัติสิ่งที่จำเป็น ดังเช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม, การสวมหน้ากาอนามัย, และการจำกัดการเดินทาง จำนวนผู้ป่วยก็จะลดน้อยลงอาจจะถึงสองในสามทีเดียว งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งออกมาในตอนหลังระบุ ขณะที่ จาง ซึ่งเป็นแพทย์อยู่ในลอสแองเจลิสด้วย กล่าวว่า การเตือนภัยตั้งแต่เนิ่นๆ น่าจะสามารถรักษาชีวิตไม่ให้ต้องล้มตายไป

อย่างไรก็ดี มีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขคนอื่นๆ บอกว่า รัฐบาลจีนมีการปฏิบัติการที่เด็ดขาดเป็นการภายในกันอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาจากข้อมูลข่าวสารที่พวกเขาได้รับอยู่ในเวลานั้น

“พวกเขาอาจจะไม่ได้พูดในสิ่งถูกต้องออกมา แต่พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่ถูกต้องกันอยู่” เรย์ ยิป (Ray Yip) หัวหน้าคนแรกของสำนักงานในประเทศจีนของศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของสหรัฐฯ กล่าว “ในวันที่ 20 พวกเขาส่งเสียงเตือนภัยต่อทั่วทั้งประเทศ ซึ่งมันก็ไม่ใช่การชะลอเวลาที่ไม่มีเหตุผลหรอก”

ขณะที่ เบนจามิน คาวลิ่ง (Benjamin Cowling) นักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยฮ่องกง (University of Hong Kong) บอกว่า ถ้าพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขส่งเสียงเตือนภัยก่อนเวลาอันสมควรแล้ว มันก็อาจกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขา --กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ตะโกนหลอกชาวบ้านว่า หมาป่ามาแล้ว— และลิดรอนความสามารถของพวกเขาในระดมปลุกเร้าประชาชน

ความล่าช้าเช่นนี้อาจจะสนับสนุนข้อกล่าวหาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ว่ารัฐบาลจีนแอบถ่วงดึงการตอบโต้รับมือของโลกต่อไวรัสร้าย อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งเมื่อมีการประกาศให้สาธารณชนทราบต่อเมื่อล่วงเลยมาถึงวันที่ 20 มกราคม มันก็ยังเป็นการให้เวลาสหรัฐฯเกือบๆ 2 เดือนทีเดียวสำหรับการเตรียมตัวรับมือกับโรคระบาด

ระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้น ทรัมป์เพิกเฉยต่อคำเตือนของพวกทีมงานของเขาเอง และมองว่าโรคนี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญที่จะต้องวิตกกังวล เวลาเดียวกันนั้นรัฐบาลสหรัฐฯยังบกพร่องล้มเหลวไม่ได้สะสมเพิ่มพูนพวกซัปพลายทางการแพทย์ แถมยังแจกจ่ายชุดตรวจทดสอบที่ผิดพลาดใช้การไม่ได้ออกไปให้มลรัฐต่างๆ ทางด้านผู้นำทั่วโลกก็หลับหูหลับตาต่อการระบาดคราวนี้เช่นเดียวกัน โดยที่นายกรัฐมนตรีบอรัส จอห์นสัน ของอังกฤษ เรียกร้องให้ใช้ยุทธศาสตร์ “สร้างภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) --ก่อนที่ตัวเขาเองล้มป่วยด้วยโควิด-19 ส่วนประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู (Jair Bolsonaro) ของบราซิล พูดจาเย้ยหยันสิ่งที่เขาเรียกว่า “ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ”

**********

ภาพที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2020 คณะผู้นำสูงสุดของจีน นำโดยประธานาธิบดีสี จิ้เนผิง (กลาง) ยืนคำนับ ระหว่างพิธีระดับชาติ เพื่อไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดติดเชื้อโควิด-16 ณ จงหนานไห่ ทำเนียบปฏิบัติงานและที่พักของบรรดาผู้นำสูงสุดของจีน ในกรุงปักกิ่ง

จากเอกสารต่างๆ ที่เอพีได้เห็นและการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ของเอพี เปิดเผยให้เห็นว่า เรื่องราวช่วงต้นๆ ของโรคระบาดในประเทศจีนนั้น มีจังหวะโอกาสที่สูญเสียไปอย่างไร้ค่าในทุกๆ ขั้นตอน จีนภายใต้การปกครองของสี ซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการเบ็ดเสร็จที่สุดในรอบหลายสิบปีมานี้ มีการกดขี่ทางการเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเจ้าหน้าที่มีความลังเลมากขึ้นในการรายงานเคสต่างๆ หากไม่ได้รับสัญญาไฟเขียวอย่างชัดเจนจากระดับท็อป


“พวกเจ้าหน้าที่รู้สึกว่ามีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นจริงๆ ซึ่งทำให้พวกเขาลังเลที่จะก้าวออกมานอกแถว” แมตทิงลีย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเยล บอก “มันทำให้เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นที่พวกซึ่งอยู่ในระดับท้องถิ่นจะกล้ารายงานข้อมูลข่าวสารที่เป็นเรื่องเลวร้าย”


แพทย์และพยาบาลหลายรายในอู่ฮั่น บอกกับสื่อจีนว่ามีสัญญาณเยอะแยะที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโคโรนานี้อาจสามารถติดต่อถ่ายทอดระหว่างคนกับคนได้ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้ว คนไข้หลายคนซึ่งไม่เคยไปยังแหล่งที่ต้องสงสัยว่าเป็นต้นตอของไวรัส ซึ่งก็คือ ตลาดอาหารทะเลหัวหนาน (Huanan Seafood Market) กลับถูกตรวจทดสอบพบว่าติดเชื้อ นอกจากนั้นบุคลากรทางการแพทยก็ก็เริ่มล้มป่วยกันมากขึ้น


แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับขัดขวางบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งพยายามที่จะรายงานเคสทำนองนี้ พวกเขากำหนดหลักเกณฑ์อันเข้มงวดขึ้นมาสำหรับการยืนยันว่าติดเชื้อจริงๆ โดยไม่เพียงผู้ป่วยต้องมีผลตรวจทดสอบออกมาเป็นบวกเท่านั้น แต่ตัวอย่างต่างๆ ยังถูกส่งไปยังปักกิ่งและแยกแยะเชื้อกันอีกรอบ พวกเขากำหนดให้บุคลากรต้องรายงานผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือเสียก่อนจึงจะส่งข้อมูลข่าวสารไปยังชั้นเหนือขึ้นไปได้ รายงานข่าวของพวกสื่อจีนแสดงให้เห็นภาพเช่นนี้ นอกจากนั้นพวกเขายังลงโทษแพทย์หลายคนที่ออกมาเตือนเรื่องโรคติดต่อนี้


ผลก็คือ ไม่มีรายงานเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ๆ เลยเป็นเวลาร่วมๆ 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม แม้กระทั่งพวกเจ้าหน้าที่ก็ไปชุมนุมรวมตัวกันในอู่ฮั่นเพื่อเข้าร่วม 2 การประชุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดประจำปีในระดับมณฑลเหอเป่ย เอกสารภายในของซีดีซีจีนหลายฉบับยืนยันเรื่องนี้


ระหว่างช่วงดังกล่าว ทีมผู้เชี่ยวชาญหลายทีมซึ่งปักกิ่งส่งไปที่อู่ฮั่นบอกว่า พวกเขาไม่ได้เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของอันตรายและเรื่องการติดต่อถ่ายทอดเชื้อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์


“จีนมีการควบคุมโรคมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่เชื้อนี้จะติดต่อแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง สืบเนื่องจากการเดินทางในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตรุษจีน)” สีว์ เจี้ยนกว๋อ (Xu Jianguo) หัวหน้าของทีมผู้เชี่ยวชาญทีมแรกบอกกับ ต้ากุงเป้า (Takungpao) หนังสือพิมพ์ที่ออกในฮ่องกงเมื่อวันที่ 6 มกราคม เขากล่าวต่อไปว่า “ไม่มีหลักฐานใดๆ ว่ามีการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์” รวมทั้งระบุว่าภัยคุกคามจากไวรัสนี้อยู่ในระดับต่ำ


ทีมผู้เชี่ยวชาญทีมที่สอง ซึ่งถูกส่งออกไปเมื่อวันที่ 8 มกราคม ก็ล้มเหลวไม่สามารถขุดคุ้ยค้นพบสัญญาณอันชัดเจนใดๆ ในเรื่องการติดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ กระนั้นระหว่างที่พวกเขาอยู่ในอู่ฮั่น ก็มีแพทย์และพยาบาลมากกว่าครึ่งโหลล้มป่วยจากไวรัสนี้กันแล้ว การศึกษาของ ซีดีซี จีน ชิ้นหนึ่งที่เป็นการศึกษาทบทวนย้อนหลังและตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ “นิวอิงแลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซีน” (New England Journal of Medicine) จะระบุยืนยันเรื่องนี้ในเวลาต่อมา


ทีมผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มุ่งมองหาคนไข้ที่มีอาการปอดบวมอย่างรุนแรง จึงพลาดไม่ได้พบพวกที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่า พวกเขายังตีวงล้อมกรอบการค้นหาเอาไว้เฉพาะพวกที่เคยไปยังตลาดอาหารทะเลแห่งนั้น –ซึ่งถูกถือเป็นความผิดพลาดเมื่อมีการทบทวนย้อนหลังในเวลาต่อมา คาวลิ่ง นักระบาดวิทยาในฮ่องกง บอก เขาได้บินไปยังปักกิ่งเพื่อศึกษาทบทวนเคสเหล่านี้ในช่วงปลายเดือนมกราคม


หลายๆ สัปดาห์ภายหลังจากความสาหัสร้ายแรงของโรคระบาดครั้งนี้เป็นที่ชัดเจนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ของอู่ฮั่นว่า มีความจงใจปิดบังซุกซ่อนเคสผู้ป่วย


“ผมสงสัยข้องใจเรื่อยมาว่ามันน่าจะมีการติดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้” หวัง กวงฟา (Wang Guangfa) หัวหน้าของทีมผู้เชี่ยวชาญทีมที่สอง โพสต์ข้อความเช่นนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ทาง เว่ยปั๋ว (Weibo) แพลตฟอร์มสื่อสังคมของจีน ตัวเขาเองล้มป่วยด้วยไวรัสนี้ไม่นานนักหลังเดินทางกลับปักกิ่งในวันที่ 16 มกราคม


แต่ โจว เซียนหวัง (Zhou Xianwang) นายกเทศมนตรีนครอู่ฮั่นในตอนนั้น ประณามระเบียบกฎเกณฑ์ระดับชาติว่าเป็นตัวการทำให้เกิดการปิดลับ


“ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับท้องถิ่นคนหนึ่ง ผมสามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ก็ต่อเมื่อหลังจากได้รับมอบอำนาจแล้ว” โจวกล่าวกับสื่อรัฐในตอนปลายเดือนมกราคม “คนจำนวนมากไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก”


ผลที่เกิดขึ้นก็คือ พวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปของจีนดูเหมือนถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในความมืด


“ซีดีซี ทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย ทึกทักเอาว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดีอยู”" ผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขของภาครัฐผู้หนึ่งกล่าว โดยขอให้สงวนนามเนื่องจากกลัวว่าจะถูกตอบโต้แก้เผ็ด “ถ้าเราเริ่มต้นทำอะไรกันตั้งแต่ 1 อาทิตย์ หรือ 2 อาทิตย์ก่อนหน้านั้น สิ่งต่างๆ ก็น่าจะแตกต่างไปจากนี้มาก”


ไม่ใช่เพียงเฉพาะที่อู่ฮั่นเท่านั้น ในเมืองเซินเจิ้น ทางภาคใต้ของจีน ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ทีมงานทีมหนึ่งที่นำโดยนักจุลชีววิทยา ยุน คว็อกยุง (Yuen Kwok-yung) ใช้ชุดตรวจทดสอบของพวกเขาเองซึ่งสามารถยืนยันได้ว่ามีสมาชิก 6 คนของครอบครัวหนึ่งที่มีด้วยกัน 7 คน ติดเชื้อไวรัสนี้เมื่อวันที่ 12 มกราคม ในการให้สัมภาษณ์ “ไฉซิน” นิตยสารด้านการเงินของจีนที่ได้รับการยกย่องนับถือ ยุนกล่าวว่าเขาได้แจ้งให้สาขาต่างๆ ของซีดีซี ทราบ “ในทุกๆ ระดับ” รวมทั้งที่ปักกิ่งด้วย ทว่าตัวเลขที่บันทึกเอาไว้ภายในของ ซีดีซี ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าได้รวมเอารายงานของ ยุน เข้าไปด้วย ทั้งนี้เมื่อดูจากประกาศข่าวหลายๆ ฉบับของ ซีดีซี


จนกระทั่งเมื่อมีรายงานการรพบเคสผู้ปวยในไทยนั่นแหละ พวกผู้รับผิดชอบด้านสาธารณสุขจึงได้จัดทำแผนการเป็นการภายใน ซึ่งวางแนวทางเรื่องการจำแนกแยกแยะผู้ป่วย, การแยกผู้น่าสงสัยออกมา, การตรวจทดสอบ, และการรักษา ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั้งหมดในระดับทั่วประเทศ


จำนวนเคสในอู่ฮั่นที่นับได้ก็เริ่มไต่สูงขึ้นในทันที – จาก 4 รายเมื่อวันที่ 17 มกราคม กลายเป็น 17 ในวันรุ่งขึ้น และ 136 ในวันถัดมา ขณะที่ทั่วทั้งประเทศ เคสจำนวนหลายสิบเริ่มมีปรากฏให้เห็น โดยที่บางเคสเป็นผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อก่อนหน้านั้นแล้วแต่ยังไม่ได้เคยถูกตรวจทดสอบ ตัวอย่างเช่น ในมณฑลเจ้อเจียง ชายผู้หนึ่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 มกราคม แต่กว่าที่เขาจะถูกแยกตัวเนื่องจากต้องสงสัยว่าติดเชื้อก็เมื่อถึงวันที่ 17 มกราคม และได้รับการยืนยันผลตรวจว่าเป็นบวกในวันที่ 21 มกราคม ที่เซินเจิ้น ซึ่งก่อนหน้านั้น ยุน พบว่ามี 6 รายที่ผลตรวจออกมาเป็นบวกนั้น ลงท้ายแล้วก็บันทึกเคสที่ยืนยันเป็นเคสแรกของเมืองนี้ในวันที่ 19 มกราคม


โรงพยบาบาล อู่ฮั่น ยูเนียน ฮอสปิตอล (Wuhan Union Hospital) หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นเยี่ยมที่สุดของเมือง จัดการประชุมฉุกเฉินในวันที่ 18 มกราคม ซี่งมีการชี้แนะบุคลากรให้เข้มงวดในเรื่องการนำเอารายที่น่าสงสัยแยกออกมาอยู่ต่างหาก –ตั้งแต่ก่อนที่ สี ออกมากล่าวเตือนประชาชนด้วยซ้ำ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขรายหนึ่งบอกกับเอพีว่า ในวันที่ 19 มกราคม เธอได้ไปทัวร์โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งจัดสร้างขึ้นภายหลังการระบาดของโรคซาร์ส ปรากฏว่าที่นั่นพวกบุคลากรทางการแพทย์มีการเตรียมตัวกันอย่างโกลาหตลอดทั่วทั้งอาคาร โดยเตรียมเตียงจำนวนหลายร้อยเตียงสำหรับรับคนไข้อาการปอดบวม


“ทุกๆ คนในประเทศนี้ที่อยู่ในวงการโรคติดต่อ ต่างทราบว่ากำลังจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมา” เธอกล่าว โดยขอไม่ให้ระบุนาม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกรบกวนถูกรัฐบาลซึ่งอ่อนไหวเรียกไปหารือ “พวกเขาต่างกำลังคาดการณ์กันอย่างนั้น”


กำลังโหลดความคิดเห็น