เอเอฟพี - สหรัฐฯ ออกคำแนะนำวานนี้ (3 เม.ย.) ให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า โรคระบาดซึ่งมีผู้ป่วยแล้วกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก อาจติดต่อกันได้ผ่านทางลมหายใจปกติ
ขณะเดียวกัน ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ ก็พุ่งสูงเป็นสถิติใหม่ 1,480 ราย ในรอบ 24 ชั่วโมง มากที่สุดนับตั้งแต่ไวรัสเริ่มแพร่ระบาด และทำลายสถิติเดิมที่อเมริกาเคยทำไว้ที่ 1,169 ราย เมื่อช่วงวันพุธ-พฤหัสบดีที่ผ่านมา
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ชาวอเมริกัน 330 ล้านคน ควรจะสวมใส่หน้ากากที่ไม่ใช่ทางการแพทย์เวลาออกนอกบ้าน เช่น ไปจับจ่ายซื้อของ โดยคำแนะนำนี้จะคงอยู่ “ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“นี่เป็นเรื่องของความสมัครใจ คุณไม่ต้องทำก็ได้ และผมเองก็เลือกที่จะไม่ทำ แต่ประชาชนบางคนอาจจะต้องการสวมหน้ากาก ซึ่งมันก็โอเค” ทรัมป์ ระบุ
เจโรม แอดัมส์ ศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ (US Surgeon General) ชี้แจงว่า ที่ต้องมีคำแนะนำเช่นนี้ ก็เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสจำนวนมากไม่แสดงอาการ แต่ถึงกระนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการ “เว้นระยะห่างทางสังคม”
คำประกาศนี้มีขึ้นหลังจากที่ นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐฯ ออกมาสนับสนุนงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ที่พบว่า ไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 สามารถแพร่กระจายในรูปละอองไอจากลมหายใจออกของผู้ติดเชื้อ
ผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า “ไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการพูดคุยกัน ไม่ใช่แค่การไอหรือจาม” เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์
สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ (Nationsl Academy of Sciences) ได้ส่งรายงานผลการวิจัยไปยังทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 1 เม.ย. โดยแม้จะยังสรุปฟันธงไม่ได้ แต่ผลการศึกษาก็บ่งชี้ว่าไวรัสมีการฟุ้งกระจายเป็นละอองลอย (aerosolization) จากการหายใจปกติ
นับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่นของจีนเมื่อเดือน ธ.ค. ผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขทั่วโลกลงความเห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่ ว่า เชื้อโรคนี้แพร่กระจายผ่านการไอและจามเท่านั้น
คำแนะนำใหม่ของสหรัฐฯ คาดว่า จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนในอเมริกาและยุโรป ซึ่งต่างก็ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีน
ทรัมป์ ขอให้ชาวอเมริกัน “หาอะไรก็ได้” มาใช้แทนหน้ากากอนามัย เช่น ผ้าพันคอ เป็นต้น เพื่อสงวนหน้ากากอนามัยไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า สถานการณ์ในอเมริกาจะย่ำแย่ลงกว่านี้ และเตือนให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับช่วงเวลาที่ “เจ็บปวดทรมานที่สุด” ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือน เม.ย.
การระบาดของไวรัสและมาตรการล็อกดาวน์ที่หลายประเทศเริ่มบังคับใช้กำลังบั่นทอนเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง โดยในส่วนของสหรัฐฯ สูญเสียการจ้างงานไปแล้วถึง 701,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. และคาดว่าตัวเลขจะพุ่งสูงยิ่งกว่านี้ในเดือน เม.ย.
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิตช์ (Fitch) ทำนายว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยูโรโซน จะหดตัวลง 30% ในไตรมาสปัจจุบัน ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เตือนว่า ทั่วโลกอาจสูญเสียเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจถึง 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นราวๆ 5% ของจีดีพีโลก
