เอเอฟพี - นิวยอร์กในวันศุกร์ (20 มี.ค.) เป็นรัฐล่าสุดที่มีคำสั่งล็อกดาวน์ (ห้ามออกนอกเคหสถาน) เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สวนทางกลับท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กร้าวไม่ปิดตายทั้งประเทศ คุยโวว่ากำลังชนะสมรภูมินี้ แม้ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในอเมริกาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐออกคำสั่งให้ภาคธุรกิจที่ไม่มีความจำเป็นปิดทำการและห้ามรวมกลุ่มกันในรัฐนิวยอร์ก หนึ่งวันหลังจาก กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย สั่งประชาชนทุกคน 40 ล้านคนของรัฐให้อยู่แต่ในเคหสถาน “ตอนนี้เราทุกคนอยู่ภายใต้การกักกันโรค” เขาบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่าคำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (22 มี.ค.) และใครก็ตามที่ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงินในทางแพ่ง
มาตรการนี้มีขึ้นในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 233 คน กว่าเท่าตัวจากช่วง 3 วันที่ผ่านมา ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 18,121 คน วันดียวเพิ่มขึ้นถึง 4,332 คน
แม้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทรัมป์บอกว่ามหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก จะชนะและกำลังชนะในสงครามนี้ และไม่มีความจำเป็นที่ต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศแบบเดียวกับในแคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์ก
“จริงๆ มีแหล่งเพาะเชื้อ 2 แหล่ง บางทีพวกเขาคงเป็นจุดล่อแหลมที่สุดเหนือกว่าจุดอื่นๆ” ทรัมป์แถลงที่ทำเนียบขาว พร้อมระบุว่าในแถบมิดเวสต์ของอเมริกาไม่พบผู้ติดเชื้อมากมายนัก “ดังนั้น เรากำลังทำงานร่วมกับผู้ว่าการรัฐต่างๆและผมคิดว่าเราไม่มีทางพบว่ามาตรการล็อกดาวน์มีความจำเป็น”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ คูโอโม บอกว่าเขาจะออกคำสั่งพิเศษที่จะอนุญาตให้เปิดทำการเฉพาะธุรกิจต่างๆ ที่มีความจำเป็นเท่านั้นนับตั้งแต่วันอาทิตย์ (22 มี.ค.) เป็นต้นไป โดยระบุว่างานบริการที่มีความจำเป็นนั้น รวมไปถึงร้านขายขอชำ, ร้านขายยา และธุรกิจบริการส่งอาหาร
เขาบอกว่าการรวมตัวที่ไม่มีความจำเป็นไม่ว่าจะมีผู้เข้าร่วมมากน้อยแค่ไหนจำเป็นต้องยกเลิก พร้อมสั่งพลเมืองให้ออกกำลังกายเพียงลำพังและไม่ออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นหมู่คณะ อย่างเช่นเล่นบาสเกตบอล
พร้อมกันนั้นเขายังขอให้หลีกเลี่ยงระบบขนส่งสาธารณะ ยกเว้นในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน “นิวยอร์กหยุดนิ่งแล้ว มาตรการนี้จะก่อความวุ่นวาย มันจะทำให้ผู้คนไม่พอใจอย่างมาก ผมเข้าใจดี”