xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเท็จที่ลือกันได้เป็นตุเป็นตะ: 'โควิด-19' เป็นอาวุธชีวภาพของจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เดฟ มาคิชุค


<i>ภาพวาดเผยแพร่โดย ศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2020 แสดงให้เห็น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 </i>
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

China’s bioweapon spy story that never was
by Dave Makichuk
15/02/2020

พวกทฤษฎีสมคบคิดที่ไม่เป็นความจริง, การขยายความกันจนเกินเลยความจริงไปอย่างมากมาย, ตลอดจนการกล่าวอ้างที่มุ่งชี้นำไปในทางที่ผิดและอาจก่อให้เกิดอันตรายเสียหายขึ้นมา เหล่านี้กำลังช่วยกันสร้างและเพิ่มทวีความสับสนทางออนไลน์ ในเรื่องเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ตามท้องเรื่องที่เล่ากันเป็นตุเป็นตะบอกว่า ในเมืองวินนีเพ็ก ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นของแคนาดา ณ ห้องแล็ปแห่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา ซึ่งซ่อนตัวอยู่อยู่บนถนนอาร์ลิงตัน (Arlington St.) นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนกลุ่มหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในสถานที่แห่งนั้น โดยใช้ความพยายามอย่างเต็มที่จนประสบความสำเร็จในการเก็บและโจรกรรมตัวอย่างจำนวนหนึ่งของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีฤทธิ์เดชทำให้ผู้คนเสียชีวิต

เชื้อโรคติดต่อนี้ ตามเรื่องราวที่ร่ำลือกัน ได้ถูกลักลอบนำออกมาจากแคนาดา จากนั้นก็ถูกนำไปไว้ที่ห้องแล็ปแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งมีทีมนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยมันอย่างระมัดระวัง และทำงานด้วยจุดประสงค์ที่จะสร้างให้กลายเป็นอาวุธทางชีวภาพขึ้นมา

แต่แล้ว ด้วยสาเหตุหรือวิธีการอย่างไรไม่เป็นที่ชัดเจน ไวรัสนี้ได้หลบหนีเล็ดลอดออกไปจากห้องปฏิบัติการแห่งนั้น … จากนั้นก็แพร่กระจายออกไป โดยตอนแรกทีเดียวเป็นไปอย่างช้าๆ ทว่าเมื่อมันติดต่อลุกลามไปในหมู่มหาชนแล้ว ก็ทำให้ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนติดเชื้อล้มป่วย และจำนวนมากเสียชีวิต เวลานี้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ได้กระจายไปยังประเทศและดินแดนต่างๆ ร่วมๆ 30 แห่ง ขณะที่สร้างความแตกตื่นความหวาดผวาไปทั่วโลก

ทั้งหมดนี้คือเรื่องเล่าคร่าวๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งถูกเผยแพร่กระจายออกไปทางออนไลน์

แต่ที่แย่ก็คือ เรื่องเล่านี้มีปัญหาใหญ่ที่สำคัญยิ่งอยู่ปัญหาหนึ่ง นั่นคือ มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเลย ผมขอย้ำชัดๆ อีกครั้งหนึ่งนะครับ มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเลย

ข่าวชิ้นนี้ พร้อมๆ กับข่าวอีกหลายๆ ชิ้น ได้ออกลูกออกหลานข้อมูลข่าวสารผิดๆ ที่มีพิษติดต่อ ซึ่งได้กระจายเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งเสียกว่าตัวโรคระบาดเองด้วยซ้ำ

ตามรายงานของนิวยอร์กไทมส์ ตั้งแต่ที่การระบาดคราวนี้เริ่มต้นขึ้นมา ก็มีเรื่องราวการกล่าวอ้างที่ชักจูงไปในทางผิดพลาด ตลอดจนเรื่องโกหกหลอกลวงเกี่ยวกับไวรัสนี้ หมุนเวียนไปในออนไลน์อย่างดุเดือดเลือดพล่าน

เรื่องโกหกหลอกลวง

เรื่องโกหกหลอกลวงเหล่านี้ มีทั้งพวกทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theories) ที่ไม่เป็นความจริง โดยบอกว่าไวรัสนี้ถูกสร้างขึ้นมาในห้องแล็ป และวัคซีนป้องกันก็มีการผลิตกันออกมาเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ให้ข่าวเล่าลือเกี่ยวกับตัวเลขจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่เกินความเป็นจริง รวมทั้งมีการกล่าวอ้างเกี่ยวกับวิธีบำบัดรักษาปลอมๆ ซึ่งอาจกลายเป็นอันตรายต่อผู้ที่หลงเชื่อนำไปปฏิบัติ

สื่อสังคมยักษ์ใหญ่ทั้ง เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ต่างนำเอามาตรการจำนวนหนึ่งออกมาใช้ เพื่อพยายามยับยั้งไม่ให้ข่าวเท็จข่าวปลอมเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก่อนที่มันจะสร้างผลต่อเนื่องซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่านี้ขึ้นมา

ตามรายงานของนิวยอร์กไทมส์ ยูสเซอร์ซึ่งค้นหาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสนี้ทางเฟซบุ๊ก หรือผู้ที่คลิกแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องบางอันบนอินสตาแกรม จะเจอกับป็อปอัพ ซึ่งให้ข่าวมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้ นอกจากนั้น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดยังจะปรากฏเป็นข่าวชิ้นบนสุดในรายการข่าวสำหรับยูสเซอร์ของทางเฟซบุ๊ก โดยเป็นข่าวซึ่งอิงอยู่กับคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (ฮู)

แล้วความจริงคืออะไร อยู่ตรงไหน? โรคอันเกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ซึ่งปัจจุบันองค์การอนามัยโลกเรียกขานใช้ชื่อว่า โควิด-19 [1] คือการทดลองอาวุธทางชีวภาพระดับลับสุดยอดสุดซูเปอร์ ซึ่งเกิดความผิดพลาดไม่เป็นไปตามที่คาดคิดใช่หรือไม่? หรือว่าเรื่องอาวุธทางชีวภาพนี้ เป็นเพียงแค่ทฤษฎีสมคบคิดอันพึลึกกึกกืออีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งถูกปล่อยออกมาให้เด้งดึ๋งๆ ไปทั่วสื่อสังคม แล้วก็ตายจากไปท่ามกลางความโง่เขลา ?

ค้นหาความจริง

อันดับแรกเลย นี่คือสิ่งที่พวกเราทราบกันแล้ว สิ่งที่มีความรู้อันแจ่มแจ้งแล้ว ทั้งนี้โดยอ้างอิงตามข้อมูลของ ศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention ใช้อักษรย่อว่า CDC) ของสหรัฐฯ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ กล่าวคือ :

โควิด-19 เป็น ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ซึ่งไม่เคยเป็นที่รู้จักกันมาก่อน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ซึ่งตอนแรกๆ ถูกเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า 2019 novel coronavirus ใช้อักษรย่อว่า 2019-nCoV) ไม่ใช่เป็นชนิดเดียวกันกับไวรัสโคโรนาที่หมุนเวียนกระจายไปทั่วในหมู่มนุษย์ และก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่ส่วนใหญ่อยู่ในสถานเบา อย่างเช่น ไข้หวัดธรรมดา

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและบรรดาหุ้นส่วนผู้มีส่วนร่วมต่างๆ กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อระบุต้นตอแหล่งที่มาของไวรัสนี้ ไวรัสโคโรนานั้นเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งของไวรัส บางชนิดก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในมนุษย์ ส่วนบางชนิดก็หมุนเวียนอยู่ในหมู่สัตว์ต่างๆ เป็นต้นว่า อูฐ, สัตว์ตระกูลแมว, และค้างคาว การวิเคราะห์เพื่อสร้างไดอะแกรมต้นไม้ทางพันธุกรรม (genetic tree) ของไวรัสตัวนี้ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในขณะนี้

โรคซาร์ส (SARS ย่อมาจาก Severe Acute Respiratory Syndrome กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง) ไวรัสโคโรนาอีกชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นมาทำให้ผู้คนเจ็บป่วยนั้น มาจากสัตว์ในตระกูลเดียวกับแมว อย่าง ชะมด ขณะที่โรค เมอร์ส (MERS ย่อมาจาก Middle East Respiratory Syndrome กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง) ที่ก็เป็นไวรัสโคโรนาซึ่งปรากฏขึ้นมาทำให้มนุษย์เจ็บป่วยได้อีกชชนิดหนึ่ง มาจากอูฐ โควิด-19 แต่เดิมบางทีอาจจะปรากฏขึ้นมาจากต้นตอที่เป็นสัตว์ ทว่าในปัจจุบันดูเหมือนมันกำลังแพร่กระจายจากคนสู่คนได้

จากฐานข้อมูลที่มีต้นตอที่มาจากหลายๆ แหล่งซึ่งรวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) นับจนถึงวันศุกร์ (14 ก.พ.) ไวรัสโคโรนา โควิด-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกติดเชื้อไปแล้วราว 64,460 คน [2] (ตามข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติของจีน ตอนเช้าวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ ในจีนมีผู้ติดเชื้อรวม 74,185 คน –ผู้แปล)

สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น จีนรายงานว่ามีมากกว่า 1,380 คน แทบทั้งหมดเกิดขึ้นในมณฑลหูเป่ย ซึ่งอยู่ทางภาคกลางของประเทศ (ตามข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติของจีน ตอนเช้าวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ ในจีนมีผู้เสียชีวิตไปแล้วรวม 2,004 คน –ผู้แปล) ขณะเดียวกันจำนวนของผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ตัวเลขเหล่านี้ชวนให้รู้สึกช็อก ทว่าข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จซึ่งเผยแพร่กันออกมานั้น ทำให้รู้สึกตะลึงงันยิ่งกว่านี้เสียอีก

ข้อมูลข่าวสารอันชวนตั้งข้อสงสัยที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องชุดใหญ่ชุดหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการให้สัมภาษณ์อย่างชนิดฟังแล้วต้องอ้าปากค้างของ ดร.ฟรานซิส บอยล์ (Dr. Francis Boyle) ที่เผยแพร่ทางพอดแคสต์ “จีโอโพลิติกส์ แอนด์ เอมไพร์” (Geopolitics and Empire) [3] บอยล์ไม่ใช่พวกสติวิปลาสเที่ยวหลอกลวงคน เขาเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อต้านการก่อการร้ายด้วยอาวุธทางชีวภาพปี 1989 (Biological Weapons Anti-Terrorism Act of 1989) ซึ่งผ่านการอนุมัติรับรองจากทั้ง 2 สภาของรัฐสภาสหรัฐฯ และลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายโดย จอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นประธานาธิบดีอเมริกาในเวลานั้น

ในการให้สัมภาษณ์คราวนี้ เขาพูดอย่างมีรายละเอียดกล่าวหาว่า โควิด-19 เป็นอาวุธสงครามทางชีวภาพเชิงรุกอย่างหนึ่ง และระบุด้วยว่าองค์การอนามัยก็ทราบเรื่องนี้

บอยล์ ซึ่งยังเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Biowarfare and Terrorism” (สงครามชีวะและการก่อการร้าย” ยังอ้างอิงถึงรายงานชิ้นหนึ่งจากเว็บไซต์ “เกรตเกมอินเดีย” (GreatGameIndia) ที่กล่าวหาว่า พวกสายลับสงครามชีวะของจีนซึ่งกำลังทำงานอยู่ในห้องแล็ปแห่งหนึ่งในเมืองวินนีเพ็กของแคนาดา ได้แอบลักเอาไวรัสโคโรนาชนิดนี้มาเก็บเอาไว้ที่ สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology) ซึ่งเป็นห้องแล็ปที่ใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 4 (Level 4 biosafety lab) เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในประเทศจีน และที่นั่นเองซึ่งรายงานนี้กล่าวหาว่าไวรัสนี้ได้รั่วไหลออกไป

ต่อจากนั้น ทอม คอตทอน (Tom Cotton) วุฒิสมาชิกสหรัฐฯสังกัดพรรครีพับลิกัน และเป็นสมาชิกอยู่ในคณะกรรมาธิการการทหารของสภาสูงอเมริกันด้วย ก็จัดแจงเติมเชื้อเพลิงโหมไฟข่าวลือให้ลุกฮือมากขึ้นอีก โดยออกมาพูดเมื่อเร็วๆ นี้ว่า โควิด-19 “อาจจะมาจาก” ห้องแล็ปรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพระดับสูงที่เมืองอู่ฮั่น หนังสือพิมพ์ “เดอะ สตาร์” (The Star) ของมาเลเซีย [5] รายงานข่าวเอาไว้เช่นนี้

พวกกิจการบริษัทของจีนถูกฝ่ายตะวันตกกล่าวหาโจมตีมานานแล้วว่า มีความเกี่ยวข้องพัวพันอย่างใกล้ชิดกับสถาบันด้านกลาโหมของประเทศ และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญซึ่งสหรัฐฯหยิบยกมาอ้างในเวลาเรียกร้อง 5 ชาติที่กำลังร่วมมือแลกเปลี่ยนข่าวกรองกันอยู่ ซึ่งเรียกกันว่าโครงการ “ไฟฟ์ อาย” (Five Eyes) อันประกอบด้วย สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ ให้หลีกเลี่ยงอย่าได้ใช้เทคโนโลยี 5จี ของบริษัทหัวเว่ย

ครั้นแล้ว เว็บไซต์ซีโรเฮดจ์ (Zerohedge.com) ก็แสดงความกล้าตายด้วยการเผยแพร่รายงานที่กล่าวหาเชื่อมโยงพวกนักวิทยาศาสตร์จีนเข้ากับการระบาดคราวนี้ ผลก็คือถูกทวิตเตอร์สั่งแบนในทันที โดยที่เว็บไซต์สื่อสังคมแห่งนี้ออกมายืนยันว่า ได้สั่งแบนซีโรเฮดจ์อย่างเป็นการถาวร ในความผิดฐานละเมิด “นโยบายของทวิตเตอร์เรื่องการห้ามใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อการชักใยทางการเมือง”

สำหรับฝ่ายจีนนั้น ย่อมเป็นที่เข้าอกเข้าใจได้อยู่แล้ว ที่ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาข้อกล่าวอ้างเหล่านี้อย่างแข็งขัน

ชุ่ย เทียนข่าย (Cui Tiankai) เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ พูดถึงข้อกล่าวหาต่างๆ เหล่านี้ว่า เป็นข้อกล่าวหาชนิด “เหลวไหลฟั่นเฟือนอย่างถึงที่สุด” พร้อมกับเตือนด้วยว่า คำกล่าวหรือข้อเขียนในลักษณะเช่นนี้อาจก่อให้เกิดผลต่อเนื่องซึ่งสร้างความเสียหายติดตามมา

สัตว์ที่เป็นต้นตอ

ชุ่ยบอกว่า จีนยังคงกำลังพยายามค้นหาว่าต้นตอของไวรัสนี้มาจากไหน รายงานข่าวของ เดอะ สตาร์ ระบุ

“ตามผลการวิจัยเบื้องต้นบางชิ้นนั้น อาจเป็นไปได้ว่ามันจะมาจากสัตว์ แต่เรายังจะต้องค้นคว้าต่อไปอีกมาก” เอกอัครราชทูตผู้นี้กล่าว

“ผมคิดว่า เป็นความจริงทีเดียวที่ยังมีอะไรซึ่งยังไม่รู้อีกมากมายนัก และทางนักวิทยาศาสตร์ของเรา—ทั้งทางนักวิทยาศาสตร์จีน, นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน, นักวิทยาศาสตร์ของประเทศอื่นๆ – ต่างกำลังทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับไวรัสนี้ให้มากขึ้น” ชุ่ย บอก

พวกผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กระแสหลักทั้งหลาย ต่างไม่เชื่อประดาทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้

ขอให้ลองดูข้อความที่โพสต์ทางทวิตเตอร์เหล่านี้ ซึ่งทางเว็บไซต์ “เอ็กซ์เพรสส์” ของสหราชอาณาจักร [6]นำมาเผยแพร่ ดังนี้:

น.พ.เดวิด จาค็อบส์ (Dr. David Jacobs) ผู้ร่วมก่อตั้ง “กลุ่มพันธมิตรของแพทย์รัฐออนแทรีโอ” (Coalition of Ontario Doctors) ทวิตว่า “กรุณายุติพวกทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายเสียทีเถอะ!

“ไวรัสโคโรนานี้ ไ ม่ ไ ด้ ทำกันขึ้นมาในห้องแล็บ มัน ไ ม่ ไ ด้ เป็นอาวุธทางชีวภาพ

“พวกไวรัสโคโรนาเป็นของสามัญ และเป็นตัวการถึงราว 20% ของการป่วยเป็นหวัดในแต่ละปี

“พวกที่มีอันตรายมากเป็นพิเศษ อย่างเช่น ซาร์ส และ เมอร์ส มีต้นตออยู่ในค้างคาว และข้ามมาติดต่อในมนุษย์”

ศาสตราจารย์ ริชาร์ด อีไบรต์ (Professor Richard Ebright) ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีววิทยาเชิงเคมี (chemical biology) แห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส (Rutgers University) ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ของสหรัฐฯ ทวิตเสริมว่า “พิจารณาจากจีโนมและคุณสมบัติต่างๆ ของไวรัสนี้แล้ว ไม่มีสิ่งบ่งชี้ใดๆ เอาเลยว่ามันเป็นไวรัสที่ถูกตัดต่อทำกันขึ้นมา”

พวกทฤษฎีสมคบคิด

ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก น.พ.เทดรอส อาดานอม เกเบรเยซัส (Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ก็บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า “พวกเกรียนออนไลน์ (trolls) และพวกทฤษฎีสมคบคิด” กำลังเป็นตัวบ่อนทำลายความพยายามในการฟื้นตัวให้หลุดออกมาจากโรคระบาด

“ประชาชนจะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำ เพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเขาเองและคนอื่นๆ”

ควรต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า จีนนั้นไม่ได้เป็นดินแดนแปลกหน้าสำหรับเรื่องโรคระบาดที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ถูกระดมโจมตีด้วยโรคติดต่อร้ายแรงต่างๆ แต่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

การระบาดระดับหนักหนาสาหัสของไข้หวัดใหญ่ที่สร้างความวิบัติหายนะมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จำนวน 2 ครั้ง อันได้แก่ ไข้หวัดใหญ่เอเชียปี 1957 (Asian flu of 1957), และไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงปี 1968 (Hong Kong flu of 1968) ทั้งสองหนต่างมีต้นกำเนิดจากในจีน และทำให้มีผู้เสียชีวิตในทั่วโลกไปประมาณ 3 ล้านคน ทั้งนี้ตามข้อมูลของ ซีดีซี

องค์การอนามัยโลกให้คำจำกัดความ “อาวุธทางชีวภาพ” เอาไว้ว่า เป็นจุลินทรีย์ อย่างเช่น ไวรัส, แบคทีเรีย, เชื้อรา, หรือพิษอื่นๆ ซึ่งถูกผลิตและถูกนำออกเผยแพร่อย่างจงใจเพื่อก่อให้เกิดโรคและความตายในหมู่มนุษย์, สัตว์, หรือพืช

พวกชีวสาร (Biological agents) อย่างเช่น แอนแทร็กซ์, พิษเชื้อโบตูลินัม, และกาฬโรค สามารถที่จะกลายเป็นปัญหาท้าทายด้านสาธารณสุขที่แก้ไขคลี่คลายได้ลำบาก เป็นสาเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในระยะเวลาสั้นๆ ขณะเดียวกันก็ยากแก่การจำกัดควบคุมโรค

ประวัติศาสตร์ของสงครามชีวะ

ความจริงมีอยู่ว่า สงครามทางชีวภาพ หรือบางทีเรียกกันว่าสงครามเชื้อโรค คือส่วนหนึ่งของสงครามมาเป็นระยะเวลาพันปีแล้ว

เราสามารถสาวย้อนหลังบันทึกประวัติศาสตร์ไปไกลจนถึงช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งระบุว่ากองทัพของหลายๆ แห่งใช้วิธีวางยาพิษลงไปในพวกบ่อน้ำของฝ่ายศัตรู ตลอดจนใช้ลูกธนูที่อาบยาพิษ ประวัติศาสตร์ยังบันทึกเอาไว้เช่นกันว่า ในอเมริกาเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 พวกนักล่าอาณานิคมชาวสหราชอาณาจักรได้มอบผ้าห่มจำนวนหนึ่งที่มีเชื้อไข้ทรพิษ ให้แก่ชาวพื้นเมืองอเมริกัน ด้วยเจตนาที่จะสังหารพวกเขาให้ล้มตายด้วยโรคระบาด ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวอินเตอร์ เพรส เซอร์วิส [7]

ใกล้เข้ามาอีก คือ ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีได้มีการพัฒนาเชื้อแอนแทร็กซ์, เชื้อโรคแกลนเดอร์ส (glanders โรคระบาดในม้าที่สามารถติดต่อถึงคนได้), เชิ้ออหิวาต์, ตลอดจนเชื้อราข้าวสาลี รวมทั้งถูกกล่าวหาว่าอาจจะเป็นผู้แพร่เชื้อกาฬโรคที่ระบาดในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซียอีกด้วย รายงานของสำนักข่าวอินเตอร์ เพรส เซอร์วส ระบุ

ต้องใช้เวลาอีก 22 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว โลกจึงพร้อมที่จะยอมรับรู้ความชั่วร้ายของอาวุธชีวะ อนุสัญญาอาวุธทางชีวภาพปี 1972 (1972 Biological Weapons Convention) ซึ่งมี 179 ประเทศให้สัตยาบัน มีเนื้อหาสำคัญเรียกร้องฝ่ายต่างๆ ที่ตกลงปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับนี้ ต้องยอมรับข้อผูกพันที่ว่า ไม่ว่าในสภาวการณ์อย่างใดก็ตามที พวกเขาจะไม่ พัฒนา, ผลิต, เก็บสะสม, หรือจัดหา หรือเก็บเอาไว้ซึ่ง “อาวุธทางชีวภาพ” รายงานของอินเตอร์ เพรส เซอร์วิส กล่าว

ทว่าอนุสัญญาฉบับนี้ก็มีเนื้อหายินยอมให้ชาติต่างๆ ดำเนินการวิจัย “เพื่อการป้องกัน” ได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาได้รับอนุญาตให้สร้างไวรัสอย่างหนึ่งขึ้นมา เพื่อใช้ฆ่าไวรัสอีกอย่างหนึ่งได้

เชื่อกันด้วยว่ามีบางประเทศซึ่งมีการพัฒนาพวกอาวุธทางชีวภาพและทางเคมีที่ใช้เพื่อการรุก ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากการให้คำจำกัดความแล้ว มันแทบไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเอาเสียเลย ระหว่างอาวุธทางเคมี กับอาวุธทางชีวภาพ

สารสีส้ม “เอเจนต์ ออเรนจ์”

ตัวอย่างเช่น สารสีส้ม “เอเจนต์ ออเรนจ์” (Agent Orange) ที่กองทัพสหรัฐฯนำมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยระบุว่าเป็นสารเคมีใช้ฆ่าวัชพืช ทว่าอันตรายที่มันก่อขึ้นนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากอันตรายซึ่งเกิดขึ้นจากอาวุธทางชีวภาพเลย ทั้งนี้ตามข้อมูลของสถาบันแอสเปน (Aspen Institute) [8] ผลระยะยาวของสารชนิดนี้ถูกระบุว่าเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็ง, เบาหวาน, ทารกที่เกิดมาพิการบกพร่อง ตลอดจนมีภาวะไร้ความสามารถอย่างอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นปัญหาอีกประการหนึ่งที่เพิ่มความยุ่งยากลำบากให้แก่การพิจารณา นั่นคือ โควิด-19 ถ้าถือว่าเป็นอาวุธชีวะแล้ว มันก็ดูไม่ค่อยใช่เท่าไรนัก --กล่าวคือมันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก

เริ่มต้นทีเดียว เชื้อไวรัสนี้ทำให้ผู้คนที่ติดเชื้อล้มตายเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งลงไปอย่างมากๆ ผู้คนซึ่งติดเชื้อแค่จะต้องนอนพักอยู่บนเตียง และปฏิบัติตามข้อควรระวังต่างๆ ทำนองเดียวกับที่ใช้สำหรับการบำบัดรักษาโรคหวัดธรรมดาๆ

โควิด-19 มีฤทธิ์เดชรุนแรงเกินไปในตอนต้นๆ แต่ระยะยาวแล้วไม่ได้ออกฤทธิ์เดชถึงตายอย่างรุนแรงเพียงพอที่จะถือได้ว่าเป็นอาวุธชีวะที่มีประสิทธิภาพ อาวุธชีวะนั้นควรที่จะแสดงฤทธิ์เดชอย่างช้าๆ ในตอนต้นๆ แต่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว และสังหารเหยื่อของมันเป็นจำนวนมากมายในระยะสัปดาห์หลังๆ ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดยั้งการสูญเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ โควิด-19 จะมีอันตรายถึงตายได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ให้ผลในแบบที่พวกนักวิทยาศาสตร์จิตใจชั่วร้ายจะฝันจะวาดหวังเอาไว้

ย้อนกลับไปที่เรืองเล่าเกี่ยวกับห้องแล็ปชีวะในเมืองวินนีเพ็ก ตามรายงานข่าวของ ซีบีซี (CBC ย่อมาจาก Canadian Broadcasting Corporation บรรษัทวิทยุและโทรทัศน์แคนาดา) สำนักงานสาธารณสุขแห่งแคนาดา (Public Health Agency of Canada) ได้ออกมาแถลงปฏิเสธแล้วว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องพัวพันใดๆ ทั้งสิ้น ระหว่างห้องแล็ปจุลชีววิทยาแห่งชาติ (National Microbiology Lab) ในเมืองวินนีเพ็ก, กรณีนักวิทยาศาสตร์ 2 คนถูกคุมตัวออกไปจากอาคารห้องแล็ปนี้เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว, และการระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนเวลานี้

เรื่องราวข่าวลือที่ไม่มีมูลหลายๆ เรื่องอ้างว่านักวิทยาศาสตร์ 2 คนนี้เป็นสายลับชาวจีน และเมื่อปีที่แล้วพวกเขาเป็นผู้ลักลอบนำไวรัสโคโรนาไปยังห้องแล็ปในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นแล็ประดับ 4 เพียงแห่งเดียวที่จีนมีอยู่ เวลานี้ข่าวลือดังกล่าวนี้กำลังแพร่กระจายอยู่ตามแพลตฟอร์มสื่อสังคมใหญ่ๆ ทุกๆ แพลตฟอร์ม ตลอดจนบนบล็อกของพวกนักทฤษฎีสมคบคิด

ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องราวข่าวลือนี้ยังเดินทางย้อนกลับมาอยู่ใน ติ๊กต๊อก (TikTok) แอปป์สื่อสังคมที่จีนเป็นเจ้าของ โดยคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นเพื่อกล่าวอ้างเรื่องราวเหล่านี้ให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น มีผู้ชมทางติ๊กต๊อกมากกว่า 350,000 ครั้งทีเดียว

“นี่คือข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ และข้ออ้างต่างๆ ที่กำลังแพร่ไปบนสื่อสังคมนั้นมันไม่ได้มีพื้นฐานข้อเท็จจริงใดๆ รองรับเลย” อีริก มอร์ริสเซตต์ (Eric Morrissette) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขแคนาดา (Health Canada) และสำนักงานสาธารณสุขแห่งแคนาดา (Public Health Agency of Canada) กล่าวเช่นนี้ในการตอบคำถามที่มาจาก ซีบีซี นิวส์

ทฤษฏีสมคบคิดในเรื่องนี้ ดูเหมือนเกิดขึ้นมาโดยอิงอาศัยการบิดเบือนรายงานข่าวชิ้นหนึ่งของซีบีซี นิวส์ ที่เสนอข่าวเผยแพร่ออกไปเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว [9]

แล้วถ้าต้องการได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับ โควิด-19 จะไปหาได้ที่ไหน? รายชื่อของแหล่งที่มาซึ่งเชื่อถือได้มีดังต่อไปนี้ คือ:
https://www.medicalnewstoday.com/articles/novel-coronavirus-your-questions-answered#6.-What-is-its-impact?
https://www.health.gov.au/health-topics/novel-coronavirus-2019-ncov
https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019
https://ipac-canada.org/coronavirus-resources.php
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/faq.html
https://ec.europa.eu/health/coronavirus_en

เชิงอรรถ
[1]https://gisanddata.maps.arcgis.com/apps/opsdashboard/index.html#/bda7594740fd40299423467b48e9ecf6
[2]https://gisanddata.maps.arcgis.com/apps/opsdashboard/index.html#/bda7594740fd40299423467b48e9ecf6
[3] https://greatgameindia.com/transcript-bioweapons-expert-dr-francis-boyle-on-coronavirus/
[4] https://greatgameindia.com/transcript-bioweapons-expert-dr-francis-boyle-on-coronavirus/
[5] https://www.thestar.com.my/news/regional/2020/02/10/chinese-ambassador-calls-us-senator039s-coronavirus-weapons-research-comment-absolutely-crazy
[6] https://www.express.co.uk/
[7] http://www.ipsnews.net/
[8] https://www.aspeninstitute.org/programs/agent-orange-in-vietnam-program/what-is-agent-orange/
[9] https://www.cbc.ca/news/canada/manitoba/china-coronavirus-online-chatter-conspiracy-1.5442376
กำลังโหลดความคิดเห็น