มาร์เก็ตวอตช์/รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันขยับลงในวันพุธ(11ธ.ค.) หลังข้อมูลรัฐบาลสหรัฐฯพบสต๊อกปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นผิดคาด ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวก หลังธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิม
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 48 เซ็นต์ ปิดที่ 58.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ลอนดอนงวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 62 เซ็นต์ ปิดที่ 63.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯเผยแพร่รายงานในวันพุธ(11ธ.ค.) ระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯ ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ธันวาคม เพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล ในขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นบรรดานักวิเคราะห์ที่จัดนำโดยเอสแอนด์พี โกลบัล แพลตส์ คาดหมายว่าน่าจะลดลงราว 2.8 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้แล้วข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯยังพบด้วยว่าคลังสำรองน้ำมันเบนซินก็เพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรล เช่นเดียวกับสต๊อกน้ำมันกลั่นที่เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายไว้เช่นกัน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันพุธ(11ธ.ค.) ปิดบวกเล็กน้อย หลังเฟดมีมติไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณว่าอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 29.58 จุด (0.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 27,911.30 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 9.11 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,141.63 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 37.87 จุด (0.44 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,654.05 จุด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมวันพุธ(11ธ.ค.) ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้เฟดยังได้ส่งสัญญาณอาจไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2020 ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำ
ถ้อยแถลงของเฟดระบุว่า นโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสมสำหรับการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด