เซาต์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ - เยาวชนฮ่องกง 2 คนถูกพิพากษาให้เข้ารับการฝึกอบรมราชทัณฑ์และจ่ายเงินชดเชยรวม 285,500 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1.1 ล้านบาท) โทษฐานทำลายทรัพย์สินสถานีรถไฟ 3 แห่งระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเมื่อราวๆ 3 เดือนก่อน
เอ็ดการ์ กัว นักศึกษามหาวิทยาลัยวัย 17 ปี กับนักเรียนวัย 15 ปี ซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่ออันเนื่องจากเหตุผลทางกฎหมาย ยอมรับสารภาพก่อความเสียหายแก่สถานีรถไฟรางเบา 3 แห่งในย่านทวนมุน ในตอนเช้าวันที่ 7 กันยายน ขณะที่อัยการบอกว่าทั้ง 2 คนได้ทุบทำลายเครื่องจำหน่ายตั๋ว 5 เครื่อง และเครื่องอ่านบัตร 7 เครื่อง นอกจากนี้แล้วยังพ่นสเปรย์ใส่กล้องวงจรปิดอีก 12 ตัว
รักษาการผู้พิพากษาศาลแขวง มีคำสั่งให้ทั้งสองคนจ่ายเงินคนละครึ่ง รวมกันแล้วเป็นเงิน 285,447 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1.1 ล้านบาท) เป็นค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานีรถไฟทั้ง 3 แห่ง
นอกจากนี้แล้ว ทั้งสองคนซึ่งสารภาพในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ 3 กระทง ถูกยังพิพากษาให้เข้าฝึกอบรมที่ศูนย์บำบัด ณ ศาลทวนมุน ในวันอังคาร (3 ธ.ค.) นับเป็นคำตัดสินลงโทษแรกในบรรดาผู้ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาทำลายทรัพย์สินสถานีรถไฟ, ขบวนรถไฟและรางรถไฟ ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่การประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนปะทุขึ้นช่วงต้นเดือนมิถุนายน
รักษาการผู้พิพากษาศาลแขวง บอกว่า การลงโทษจำกัดเสรีภาพให้อยู่ในสถานที่ควบคุมระยะสั้นเป็นสิ่งเหมาะสมแล้วจากลักษณะของการกระทำผิดร้ายแรง ซึ่งก่อความไม่สะดวกอย่างยิ่งต่อชาวบ้านท้องถิ่นที่ไม่สามารถใช้บริการการขนส่งสาธารณะได้ เนื่องจากมันได้รับความเสียหาย
ด้านทนายของจำเลยบอกว่าวัยรุ่นทั้งสองคนสำนึกผิดต่อการกระทำของตนเอง
บ่อยครั้งที่พวกผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลมักเจาะจงเล่นงานผู้ปฏิบัติการเดินรถไฟของฮ่องกง โดยกล่าวหาว่าพวกเขาก้มหัวให้ปักกิ่ง ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน, ขว้างปาวัตถุต่างๆ ลงไปบนราง และจุดไฟเผาภายในสถานี รวมถึงประตูทางออก
ในเอกสารที่ยื่นต่อคณะอนุกรรมการการขนส่งทางรางของสภานิติบัญญัติฮ่องกง เผยให้เห็นว่ามีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน 147 จากทั้งหมด 161 สถานีของฮ่องกงที่ถูกทำลายทรัพย์สิน ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึง 24 พฤศจิกายน ก่อความเสียหายเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ฮ่องกง
คำตัดสินของรักษาการผู้พิพากษาศาลแขวงระบุว่า ทั้งสองคนกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากพวกเขาสวมหมวกและหน้ากากปกปิดตัวตนก่อนลงมือ พร้อมบอกว่าทางเลือกของการลงโทษโดยไม่กักกันตัว อาทิ คำสั่งคุมประพฤติและรับใช้สังคม ไม่สะท้อนถึงความรุนแรงของคดีนี้ “แม้จะอ้างเหตุผลด้านคุณธรรมหรือสิทธิเสรีภาพการแสดงออก แต่คนนั้นๆ ก็ไม่อาจเลือกแนวทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการแสดงออกหรือแสดงมุมมองของตนเองได้”