รอยเตอร์ - บริษัท แมคโดนัลด์ คอร์ป เจ้าของแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ของอเมริกา สั่งปลด ‘สตีฟ อีสเตอร์บรู๊ค’ พ้นตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) หลังพบว่าแอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพนักงาน ซึ่งถือว่าละเมิดนโยบายของบริษัท
คำแถลงจากคณะกรรมการผู้บริหารแมคโดนัลด์ ระบุว่า อีสเตอร์บรู๊ค วัย 52 ปี ซึ่งรั้งตำแหน่งซีอีโอมาตั้งแต่ปี 2015 “แสดงถึงการตัดสินใจที่ย่ำแย่” ในการมีความสัมพันธ์กับพนักงานคนดังกล่าว แม้จะเกิดจากความเต็มใจของทั้งคู่ก็ตาม
ซีอีโอผู้นี้ยังสมัครใจลาออกจากบอร์ดบริหารด้วย
อีสเตอร์บรู๊ค ได้ส่งอีเมลถึงพนักงานในบริษัทเมื่อวานนี้ (3) โดยยอมรับว่าตนเอง “ทำผิดพลาดไป”
“เพื่อเห็นแก่ค่านิยมของบริษัทเรา ผมเห็นด้วยกับคณะผู้บริหารว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องก้าวต่อไป” เขากล่าว
คริส เคมป์ซินสกี วัย 51 ปี ประธานแมคโดนัลด์ยูเอสเอ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ โดยมีผลในทันที
บรรดาซีอีโอบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ถูกเพ่งเล็งเรื่องการปฏิบัติต่อลูกน้องมากขึ้น หลังเกิดขบวนการเคลื่อนไหว #Metoo ในโลกโซเชียล ซึ่งรณรงค์ต่อต้านการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงาน
เมื่อเดือน มิ.ย ปี 2018 ไบรอัน คซานิช (Brian Krzanich) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อินเทล คอร์ป ก็ต้องยอมสละตำแหน่ง หลังถูกพบว่าละเมิดกฎแอบมีความสัมพันธ์กับพนักงานในบริษัทเช่นกัน
แมคโดนัลด์ ไม่เปิดเผยรายละเอียดของสถานการณ์ที่นำมาสู่การปลด อีสเตอร์บรู๊ค ทว่าจะชี้แจงข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการปลดซีอีโอผู้นี้ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ภายในวันจันทร์ (4)
หลังข่าว อีสเตอร์บรู๊ค ถูกปลดจากซีอีโอถูกเผยแพร่ออกไป กลุ่ม Fight for $15 and a Union ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่เรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงและสิทธิของพนักงานบริษัทฟาสต์ฟู้ด ได้ออกมากล่าวหาแมคโดนัลด์ว่าล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาพนักงานถูกคุกคามทางเพศ
“แมคโดนัลด์จำเป็นต้องนั่งลงพูดคุยกับพนักงานที่รอดชีวิต และให้โอกาสพวกเขาได้เป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ บริษัทจะต้องชี้แจงอย่างโปร่งใสเรื่องการปลด อีสเตอร์บรู๊ค และผู้บริหารคนอื่นๆ ซึ่งมีพฤติกรรมลักษณะนี้” กลุ่ม Fight for $15 and a Union ระบุในคำแถลง
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แมคโดนัลด์ถูกร้องเรียนว่าไม่มีมาตรการที่ดีพอในการป้องกันพนักงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ อีกทั้งพนักงานที่กล้าออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ก็ยังถูกบริษัทลงโทษด้วย