เดลิเมล์ - เจ้าหน้าที่รัสเซียต่างพากันฉงนไม่รู้ที่มาที่ไปของเมฆขนาดมหึมาที่เปลี่ยนท้องฟ้าเหนือพื้นที่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศอังกฤษ ในเขตสหพันธ์ไซบีเรียของรัสเซีย เป็นความมืดมิด ทั้งที่ปกติแล้วในช่วงนี้ดินแดนแถบดังกล่าวจะมีแสงแดดตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่พวกชาวบ้านต่างสันนิษฐานไปต่างๆ นานา ทั้งยูเอฟโอ, สุริยคราส รวมถึงเป็นฝีมือของปีศาจร้าย
นอกจากข้อสันนิษฐานข้างต้นแล้ว พวกชาวบ้านยังพาดพิงถึงสมมุติฐานอื่นๆ เช่น อาจเป็นฝุ่นมหึมาจากอุกกาบาตชนโลก และผลจากการทดสอบอาวุธอย่างลับๆ ของยูเครน หรือไม่ก็เกิดไฟป่า
ในส่วนของพวกผู้เชี่ยวชาญจากทั้งกระทรวงกลาโหมและสำนักงานอุตุนิยมวิทยาไม่สามารถให้เห็นความถึงต้นตอของความมืดมิดที่ปกคลุมเขตต่างๆ 3 แห่งในแถบอาร์กติกของสาธารณรัฐยาคูเตีย ในตอนกลางวันแสกๆ ด้วย ณ ขณะนั้นไม่มีรายงานเกี่ยวกับอุกกาบาตชนโลก, สุริยคราส หรือการทสอบอาวุธใดๆ
พวกชาวบ้านแจ้งว่า ความมืดมิดเริ่มปกคลุมตอนเวลา 11.30 น.และกินเวลานานกว่า 3 ชั่วโมงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (20 ก.ค.) ขณะที่มีรายงานว่าอุณหภูมิในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบลดลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่ท้องฟ้าเข้าสู่ความมืดมิด
ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า “มีข้อความส่งต่อกันแพร่สะพัดเกี่ยวกับแสงวาบจากดาวเทียมของสหรัฐฯ ตามมาด้วยพบระดับกัมมันตภาพรังสีเพิ่มขึ้นและมีความเคลื่อนไหวทางทหารผิดปกติ เราไม่เคยได้รับคำชี้แจงเลยว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”
นอกจากนี้แล้ว บางส่วนเชื่อว่ามันอาจเป็นการทดสอบอาวุธชนิดใหม่ของกองทัพรัสเซีย ส่วนอีกคนบอกว่า “สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายเหตุการณ์นี้ได้คือยูเอฟโอ”
พื้นที่ 3 เขตที่ตกอยู่ในความมืดมิดก็คือเอวาโน-บานตันไทสกี, ซิกันสกี และเวอร์โคยานสกี แต่จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีเขตไหนได้รับผลกระทบจากไฟป่าที่กำลังโหมกระพือเมืองอื่นๆ ในไซบีเรีย
รายงานข่าวระบุว่าพื้นที่เหล่านี้อยู่ทางเหนือสุด ซึ่งช่วงเวลานี้ในแต่ละปีจะมีแสงแดดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า “กลางวันแสกๆ เปลี่ยนเป็นยามค่ำคืนอย่างฉับพลัน” ส่วนอีกคนเสริมว่า “เท่าที่เคยเห็นในลักษณะนี้ก็มีแค่การปิดสวิตช์ไฟเท่านั้น”
“เราต้องใช้ไฟฉายหากออกไปเดินข้างนอก แต่จริงๆ แล้วคงไม่มีใครอยากไปเดินบนถนนหรอก เพราะมันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหนักๆ ในอากาศกำลังกดหน้าอกของคุณอยู่” ชาวบ้านรายดังกล่าวระบุ
มีข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีชั้นฝุ่นหนาทึบหลังท้องฟ้ามืดมิด แต่เรื่องนี้ถูกปฏิเสธโดยเจ้าหน้าที่บางส่วน ซึ่งไม่เชื่อว่าต้นตอของมันคือมลพิษของไฟป่า
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในเอวาโน-บายตันไทสกี เล่าว่า “ตอนแรกมันดูเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงกำลังมา ท้องฟ้าเริ่มมืด ค่อยๆ มืดลงๆ แต่หนนี้ที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเห็นมาก่อนคือความมืดมิดนั้นมีโทนสีเหลือง มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างมาก เราเองสงสัยในข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสุริยุปราคา”
คอนสแตนติน สตารอสติน ผู้นำเขตกล่าวว่า “ตอนดวงอาทิตย์หายไป ชาวบ้านเริ่มโทรศัพท์หาเรา โดยเฉพาะคนชราที่พากันรู้สึกกลัวมาก พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”