มาร์เกตวอตช์/รอยเตอร์ - วอลล์สตรีทร่วงลงหนักในวันศุกร์ (6 เม.ย.) กังวลข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ กับจีนลุกลามสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ ปัจจัยดังกล่าวฉุดน้ำมันดิ่งและดันทองคำปิดบวกแรง
ดาวโจนส์ ลดลง 572.46 จุด (2.34 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 23,932.76 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 58.37 จุด (2.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,604.47 จุด แนสแดค ลดลง 161.44 จุด (2.28 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 6,915.11 จุด
นักลงทุนหวาดผวาต่อคำพูดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ที่ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีกราว 100,000 ล้านดอลลาร์ โดยโวยวายใส่ปักกิ่งว่าตอบโต้อย่างไม่ยุติธรรม ต่อมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนครั้งก่อนหน้านี้ของอเมิกา ที่มีมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์
ตลาดแตกตื่นขึ้นไปอีก เมื่อ จีน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวไม่ต่างกัน “ถ้าฝ่ายสหรัฐฯ เลือกยืนตรงข้ามจีนและประชาคมนานาชาติ ยืนกรานจะลงมือฝ่ายเดียวและกีดกันทางการค้า ฝ่ายจีนก็จะดำเนินการตอบโต้ไปจนถึงที่สุด ไม่ว่ามันจะเสียหายแค่ไหนก็ตาม” กระทรวงพาณิชย์แดนมังกรระบุในถ้อยแถลง
ความกังวลว่าความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของสหรัฐฯ และจีนอาจนำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ กระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและดันราคาทองคำปิดบวกแรง โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 7.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,336.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ประกอบกับข้อมูลที่ระบุว่ามีแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เดินเครื่องมากที่สุดในรอบ 3 ปี ในสัปดาห์นี้ ฉุดให้ราคาน้ำมันขยับลงหนักในวันศุกร์ (6 เม.ย.) และทำสถิติเป็นสัปดาห์ที่ปิดลบมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 1.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 62.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอนงวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 1.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยน้ำมันทั้งสองสัญญาแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม
นอกเหนือจากแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้าแล้ว ราคาน้ำมันยังถูกซ้ำเติมจากรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ส ผู้ให้บริการทางพลังงานที่เผยแพร่ในวันศุกร์ (6 เม.ย.) ว่ามีแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เดินเครื่องเพิ่มเติม 11 แท่น เป็น 808 แท่น สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับกำลังผลิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกา