เอเอฟพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธ (13 ธ.ค.) มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นหนที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่บ่งชี้ว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบันคงจะไม่ดำเนินนโยบายเชิงรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ในปีหน้า
อ้างตลาดงานและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1.25 ถึง 1.5%
อย่างไรก็ตาม ในการคาดการณ์รายไตรมาสของเจ้าหน้าที่เฟด ยังคงประมาณการตามเดิมสำหรับปี 2018 และปี 2019 โดยคาดหมายว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า และอีก 3 ครั้งในปีถัดไป เหมือนกับที่เคยประมาณการไว้เมื่อเดือนกันยายน
กระนั้นก็ตาม การประมาณการดังกล่าวดูเหมือนจะยังไม่รวมปัจจัยผลกระทบจากมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว
แผนปฏิรูปภาษีดังกล่าวคาดหมายว่าจะเพิ่มหนี้แก่รัฐบาลกลางอีกราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าแรงกระตุ้นระยะสั้นจากมาตรการลดภาษีอาจเป็นเหตุให้เฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น
เจ้าหน้าที่เฟด 2 รายโหวตคัดค้านการปรับขึ้นดอกเบี้ย ถือเป็นครั้งแรกที่มีสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดเห็นต่างมากกว่า 1 คนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 โดย ชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก และ นีล คัชคารี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิส อยากให้คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้
ในถ้อยแถลง คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงคาดหมายว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวปานกลาง ซึ่งทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป
“ความวุ่นวายจากพายุเฮอริเคนและการฟื้นฟูได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงานและตัวเลขเงินเฟ้อในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ" ถ้อยแถลงระบุ