เอเอฟพี/MGRออนไลน์ – มีรายงานว่านับตั้งแต่รัฐพิหารได้เริ่มต้นบังคับกฎหมายสุราภายในรัฐในปีที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนชาวอินเดียจำนวนไม่ต่ำกว่า 71,000 คนถูกส่งเข้าเรือนจำในข้อหาครอบครองและการดื่ม รายแรกเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พี่น้องตะกูลมานจฮิส(Manjhis)อาศัยในกระท่อมโคลน โดนโยนเข้าห้องขังด้วยโทษจำคุกนาน 5 ปี พร้อมค่าปรับสูงลิ่ว 100,00 รูปี หรือ 1,558 ดอลลาร์ ญาติผู้ต้องหาครวญ รัฐบาลพิหารไม่เคยเห็นหัวประชาชน
เอเอฟพีรายงานวันนี้(24 ต.ค)ว่า นับตั้งแต่รัฐพิหารของอินเดียที่เป็นรัฐใหญ่แต่ยากจน และมีพลเมืองอาศัยภายในรัฐร่วม 100 ล้านคนได้ออกกฎหมายห้ามการดื่มและครอบครองสุราภายในรัฐ ส่งผลทำให้มีคนไม่ต่ำกว่า 71,000 รายถูกส่งเข้าเรือนจำที่มีโทษหนักจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี
ซึ่งการประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าการเปลี่ยนผ่านนั้นไม่เป็นไปโดยง่าย ตำรวจทั่วรัฐสามารถยึดสุราของกลางได้ร่วมล้านลิตร แต่ทางสื่อท้องถิ่นออกมาชี้ว่า มีของกลางจำนวนมากที่ถูกยึดได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำการสอบสวนหาสาเหตุอย่างเร่งด่วน
เอเอฟพีชี้ว่า เจ้าหน้าที่สร้างความวิตกให้กับสาธารณะ โดยชี้ร่องรอยการสูญหายไปที่ “หนู” ที่อ้างว่าได้แอบดื่มเหล้าของกลางเหล่านั้นไปบางส่วน
และพบว่า ในเดือนที่ผ่านมา มีชาย 6 คนที่ถูกข้อกล่าวหาแอบจำหน่ายสุราสามารถแหกห้องขังออกมาได้ โดยมีการชี้ว่า เกิดขึ้นในช่วงระหว่างผู้คุมงีบหลับ ซึ่งเอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ถูกบังคับให้จำต้องปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า “ผู้คุมเหล่านั้นไม่ได้แอบดื่มแม้แต่น้อย”
แต่ทว่ามุขมนตรีรัฐพิหาร นิติช กุมาร(Nitish Kumar) ที่สร้างปรากฎการณ์ด้วยการนำกฎหมายห้ามครอบครองและดื่มสุราบังคับใช้สำเร็จ ได้รับความชื่นชมจากนิวเดลี และกลายเป็นผลงานเข้าตานายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี จนถึงขั้นเอ่ยปากชมเชย
“มันจะเป็นการปกป้องคนรุ่นใหม่ของพวกเรา และทุกคนสมควรที่ต้องสนับสนุนเขา” โมดีกล่าวในเดือนมกราคมปีนี้
เอเอฟพีชี้ว่า กฎหมายสุราใหม่ของรัฐพิหารกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองอินเดียที่มีสื่อมวลชนให้การสนับสนุน โดยสื่อบรรณาธิการนิตยสารคาราวานแมกกาซีนได้ให้ความเห็นถึงกฎหมายห้ามดื่มเหล้านี้ว่า “เป็นเสมือนเครื่องมือทางการเมืองที่สามารถแก้ปัญหาซับซ้อนได้อย่างเบ็ดเสร็จ”
การตามไล่ล่าสุราภายในรัฐพิหารยังเป็นเรื่องที่น่าสนุกเมื่อพบว่า ตำรวจประจำรัฐต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แกะรอยการลักลอบขนสุราจากรถทุกคันร่วมหลายร้อยคันห่างจากเมืองเอกของรัฐไปถึง 150 ก.มทุกวัน โดยประจำการอยู่ที่จุดพรมแดนของรัฐ
แต่เอเอฟพีชี้ว่า นักดื่มประจำรัฐพิหารไม่เคยย่อท้อ ถึงแม้จะมีด่านตรวจบริเวณพรมแดนตั้งอยู่ แต่พวกเขายังมีความพยายามที่จะเดินทางข้ามพรมแดนไปยังรัฐอื่น หรือแม้กระทั่งข้ามประเทศไปยังเนปาลและเดินทางกลับเข้ามายังรัฐพิหารเพียงเพื่อที่จะได้ดื่มสุราเท่านั้น
กุมาร มุขมนตรีรัฐพิหารได้ให้เหตุผลการห้ามดื่มและครอบครองสุราในปีที่ผ่านมา โดยเขาประกาศว่า “เพื่อผู้ยากไร้ทั้งหลาย พวกคุณคงไม่สามารถจินตนาการได้ว่า จะมีความสุขมากเพียงใดที่ต่อพวกเขา” และกล่าวต่อว่า “อัตราการเกิดอาชญากรรมร้ายแรงลดลง หมู่บ้านของพวกเรามีความสงบมากขึ้น และกลุ่มผู้หญิงของพวกเราต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สามารถลดความรุนแรงภายในครอบครัวได้เพราะ...พวกผู้ชายไม่กลับมาในสภาพเมาปลิ้น”
แต่ทว่าสภาพทางเศรษฐกิจรัฐพิหารอาจไม่เห็นด้วยต่อความเห็นของมุขมนตรีประจำรัฐ เพราะเอเอฟพีชี้ว่า ตั้งแต่กฎหมายควบคุมสุราถูกประกาศใช้ รัฐพิหารที่ยากจนได้สูญเสียทางเศรษฐกิจไปแล้วร่วม 800 ล้านดอลลาร์ในภาษีรายได้ประจำปี
แต่ทว่าการเสียรายได้ทางภาษีและศุลกากรกลับไม่ทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำรัฐให้ความสนใจมากนัก โดย อดิตยา กุมาร ดาส(Aditya Kumar Das) เจ้าหน้าที่ศุลกากรรัฐพิหารได้อธิบายได้อย่างน่าสนใจในเรื่องนี้ว่า “การเสียรายได้ของรัฐนั้นไม่สามารถเทียบได้กับสุขภาพและประโยชน์ทางสังคมของรัฐพิหาร” และกล่าวต่อว่า “โดยในกลุ่มสตรี โดยเฉพาะที่ยากไร้ ต่อนี้ไปจะมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น เพราะสามีของพวกเธอต่อแต่นี้จะใช้เงินไปกับของใช้ในครัวเรือนมากกว่าที่จะลงขวดเหล้า”
แต่กระนั้นประชาชนรากหญ้านักดื่มประจำรัฐกลับชี้ว่า รัฐบาลรัฐพิหารไม่สนใจในคนตัวเล็กๆเช่นพวกเขา โดยเป็นเสียงร้องออกมาจากครอบครัวของผู้ที่ถูกจับกุมรายแรกตั้งแต่กฎหมายห้ามดื่มและครอบครองสุราบังคับใช้
เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเมื่อพบว่า พี่น้องตระกูลมานจฮิส(Manjhis)อาศัยในกระท่อมโคลน พร้อมกับภรรยา ลูกอีก 6 คน และแม่ ถูกจับกุม และส่งเข้าห้องขังในความผิดโทษจำคุกนาน 5 ปี พร้อมค่าปรับเป็นเงินสูงถึง 100,00 รูปี หรือ 1,558 ดอลลาร์
โดยทางครอบครัวของพี่น้องตระกูลนี้ได้กล่าวว่า “รัฐบาลไม่เคยสนใจพวกเราคนยากจน และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรารู้ เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทางตำรวจได้จับกุมสามีของพวกเราไปแล้ว”
และกล่าวให้ความเห็นต่อว่า การที่ทางตำรวจเข้าปราบปรามส่งผลทำให้คนอย่างพวกเธอและเขาที่เป็นคนชายขอบของสังคมอินเดียนั้นตกอยู่ในสภาพที่เป็นอันตราย และหวาดกลัว
“ขอให้ลืมไปเลยถึงเงินค่าประกันตัวพวกเขา เพราะพวกเราไม่มีเงินแม้สำหรับอาหารมื้อต่อไป รัฐบาลจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ไหม ที่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้สามีต้องถูกขังอยู่ในคุกต่อไป” ครอบครัวตระกูลมานจฮิสกล่าวด้วยความระทม