เอเอฟพี - เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.2 ตามมาตราแมกนิจูดทางตอนใต้ของกรุงมะนิลาในวันนี้ (11 ส.ค.) ส่งผลให้อาคารสูงในเมืองหลวงฟิลิปปินส์และบริเวณใกล้เคียงเกิดการสั่นไหว ล่าสุดยังไม่มีรายงานความเสียหาย
สถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหววิทยาแห่งฟิลิปปินส์ ระบุว่า แรงสั่นสะเทือนครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13.28 น.ตามเวลาท้องถิ่น (12.28 น.ในไทย) โดยมีศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งเมืองเลียน (Lian) และลึกลงไปใต้พื้นทะเลประมาณ 173 กิโลเมตร ขณะที่สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ตรวจวัดความรุนแรงได้ 6.2 แมกนิจูด
“เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มีศูนย์กลางอยู่ค่อนข้างลึก เราจึงคาดว่าจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย” เรนาโต โซลิดัม ผู้อำนวยการสถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหววิทยา แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล
เจ้าหน้าที่กู้ภัยในเมืองซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุดก็ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม ผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยันว่า อาคารสูงในกรุงมะนิลาและพื้นที่ใกล้เคียงเกิดการสั่นไหว และมีคำสั่งอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากทำเนียบมาลากันยัง รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ในเมืองหลวง และที่เมืองบาจูร์ (Bacoor) ซึ่งอยู่ใกล้เคียง
“พนักงานในศาลาว่าการเมือง และผู้ที่มาติดต่อราชการ ได้รับคำสั่งให้อพยพลงจากอาคารเพื่อความปลอดภัย” บักซี เดล โรซาริโอ ทนายความของรัฐในเมืองบาจูร์ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
ด้านสถานีโทรทัศน์ ABS-CBN เผยแพร่ภาพนักเรียนในโรงเรียนหลายแห่งออกมายืนสังเกตการณ์ที่ด้านนอกอาคาร
“มันไม่ได้รุนแรงมากนัก เรายังไม่เห็นประชาชนวิ่งแตกตื่นออกจากอาคาร” จอห์น คริสโตเฟอร์ คารันดัง พนักงานดับเพลิง ให้สัมภาษณ์จากเมืองเลียนซึ่งมีประชากรราว 46,000 คน และห่างจากกรุงมะนิลาไปทางใต้ราว 43 ไมล์
หมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนแนววงแหวนไฟ (Ring of Fire) ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นแนวรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกที่มักเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง
เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 แมกนิจูดบนเกาะเลย์เต (Leyte) ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และสร้างความเสียหายแก่โรงไฟฟ้า จนชาวบ้านในพื้นที่ต้องอยู่กันโดยปราศจากไฟฟ้านานหลายสัปดาห์
แผ่นดินไหวที่เมืองซูริเกา (Surigao) ทางตอนใต้เมื่อเดือน ก.พ.ก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บถึง 250 คน และเสียชีวิต 8 คน
ฟิลิปปินส์เผชิญเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงล่าสุดเมื่อปี 2013 โดยวัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.1 แมกนิจูด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 220 คน ขณะที่โบสถ์เก่าแก่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์บนหมู่เกาะตอนกลางของประเทศถูกทำลายไปหลายแห่ง