เอเจนซี - เกิดเหตุรถบรรทุกพุ่งชนตลาดคริสต์มาสแห่งหนึ่งที่แออัดไปด้วยผู้คนใจกลางกรุงเบอร์ลิน ในช่วงค่ำวันจันทร์ (19 ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และบาดเจ็บ 48 คน ในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุโจมตีครั้งนองเลือดที่สุดในรอบหลายทศวรรษของเยอรมนี
ตำรวจระบุผ่านทวิตเตอร์ ว่า พวกเขาควบคุมผู้ต้องสงสัยอย่างน้อย 1 คน และผู้โดยสารอีกคนบนรถบรรทุกเสียชีวิต ขณะที่มันพุ่งใส่ฝูงชนที่รวมตัวกันใกล้ๆ กระท่อมไม้ ที่ให้บริการไวน์ร้อน และไส้กรอก บริเวณโบสถ์อนุสรณ์ไกเซอร์วิลเฮล์ม ใจกลางทางตะวันตกของเบอร์ลิน
“เราได้ยินเสียงดังสนั่น” เอมมา รัชตัน นักท่องเที่ยวรายหนึ่งบอกกับซีเอ็นเอ็น “เราเห็นด้านบนของรถบรรทุก ที่เพิ่งพุ่งชนผ่านแผงขายของและผู้คน”
เหตุการณ์นี้ย้อนให้นึกถึงเหตุโจมตีที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนกรกฎาคม โดยชายคนหนึ่งซึ่งเกิดในตูนิเซีย ขับรถบรรทุก 19 ตัน แล่นไปตามถนนเลียบชายหาด กวาดผู้คนที่รวมตัวกันเฝ้าดูการจุดพลุฉลองวันชาติ คร่าชีวิต 86 ศพ การโจมตีที่พวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างความรับผิดชอบ
เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับสื่อมวลชนเยอรมนีหลังเกิดเหตุ ว่า เหตุการณ์ขับรถพุ่งชนครั้งนี้ดูเหมือนเป็นการลงมือโดยตั้งใจ
โฆษกรัฐบาลเปิดเผยว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมตรีเยอรมนี รับฟังรายงานสรุปสถานการณ์จากรัฐมนตรีมหาดไทย และนายกเทศมนตรีเบอร์ลิน ขณะที่ตำรวจบอกว่าไม่พบสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับสถานการณ์อันตรายเพิ่มเติม แต่เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ
“ผมตกใจอย่างมากกับข่าวคราวเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้น ณ โบสถ์อนุสรณ์ ในเบอร์ลิน” ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเยอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี กล่าว “มีคนจำนวนมากที่เดินทางมายังโบสถ์ในวันนี้ ต้องมาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ”
รถบรรทุกพุ่งเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุดช่วงหนึ่ง ด้วยผู้ใหญ่และเด็กๆ มักจะรวมตัวตามกระท่อมไม้เก่าแก่ต่างๆ ที่ขายอาหารและสินค้าคริสต์มาส ซึ่งจำลองการเฉลิมฉลองประจำปีของทั่วเยอรมนีและเมืองอื่นๆ ของยุโรป
รัชตัน บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า รถบรรทุกน่าจะแล่นด้วยความเร็วราวๆ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และพอถูกถามว่าพบเห็นผู้ได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหน เธอตอบว่าระหว่างเดินทางกลับไปยังโรงแรม เธอเห็นผู้ได้รับบาดเจ็บอบ่างน้อย 10 คน
ด้านบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ บิลด์ เบอร์ลิน ระบุว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการด้านความมั่นคงขนานใหญ่ “ภาพของเหตุการณ์ ย้อนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เราพบเห็นในนีซ”