เอพี/เอเจนซีส์ - สหรัฐฯถึงขนาดต้องออกมาแถลงกลางดึกช่วงก่อนรุ่งสางวันอาทิตย์ (18 ธ.ค.) ว่า ยินดีที่จะทำงานกับประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ เพื่อแก้ไขคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจใดๆ ที่เกิดขึ้นมา ทั้งนี้ หลังจากที่เขาพูดขู่ในวันเสาร์ (17) ว่า จะยกเลิกข้อตกลงฉบับซึ่งอนุญาตให้กองทหารอเมริกันผลัดเปลี่ยนเข้าไปอยู่ในแดนตากาล็อก
ดูเตอร์เตอยู่ในอาการโกรธเกรี้ยว หลังจาก “มิลเลเนียม แชลเลนจ์ คอร์เปอเรชั่น” ซึ่งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ แถลงช่วงสัปดาห์ที่แล้วว่า คณะกรรมการบริหารของตนเลื่อนลงมติเรื่องการจัดสรรแพกเกจให้ความช่วยเหลือก้อนใหญ่ก้อนใหม่แก่ฟิลิปปินส์ออกไปก่อน เพื่อจะได้ตรวจสอบทบทวนให้มากขึ้น สืบเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการเข่นฆ่าผู้ต้องสงสัยแบบใช้ศาลเตี้ย ในสงครามกวาดล้างยาเสพติดของดูเตอร์เต ซึ่งมีรายงานว่า ทำให้มีคนตายไปอย่างน้อยหลายพันคน
ถึงแม้หน่วยงานนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยกเลิกความช่วยเหลือไปเลย หรืออนุมัติแพกเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่ดังกล่าว แต่ดูเตอร์เตก็ปล่อยคำพูดอันเผ็ดร้อน และอุดมด้วยคำสบถอย่างยาวเหยียด ทันทีที่เขากลับมาถึงดาเวา เมืองใหญ่ทางภาคใต้ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเขาในวันเสาร์ (17) ภายหลังเดินทางไปเยือนกัมพูชาและ สิงคโปร์
“ผมเข้าใจว่า เราถูกเล่นงานให้ต้องออกจาก มิลเลนเนียม แชลเลนจ์ ก้อดีนะ ผมยินดีกับเรื่องนี้” ดูเตอร์เต กล่าวด้วยอาการเสียดสีเหน็บแนม
“เราสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องได้เงินทองอเมริกัน” เขาบอก
“แต่รู้ไหม อเมริกา คุณก็จะถูกยื่นหนังสือบอกกล่าวเหมือนกัน เตรียมตัวถอนออกไปจากฟิลิปปินส์ได้เลย เตรียมตัวเอาไว้ได้เลยสำหรับการยกเลิกกันแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือการเพิกถอนข้อตกลงให้กองทหารเข้ามาเยือน”
ทั้งนี้ เขากำลังอ้างอิงถึงสัญญาข้อตกลงที่ทำกันเมื่อปี 1998 ซึ่งเปิดทางให้กองทหารอเมริกันผลัดเวียนเดินทางเข้าไปเยือนฟิลิปปินส์ เพื่อการซ้อมรบร่วมกับฝ่ายแดนตากาล็อก สัญญาฉบับนี้เองซึ่งเปิดทางให้กองทหารสหรัฐฯเข้าไปช่วยเหลือฟิลิปปินส์ในการจำกัดควบคุมการก่อความไม่สงบอย่างรุนแรงของกองกำลังอาวุธมุสลิมในภาคใต้แดนตากาล็อก รวมทั้งช่วยเหลือฝึกอบรมและติดอาวุธกองทหารฟิลิปปินส์ในการเผชิญหน้ากับจีนในน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่พิพาทกันอยู่
“รู้จักไหม ตาต่อตาฟันต่อฟัน ... ถ้าคุณสามารถทำอย่างนี้ได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน มันไม่ได้เป็นการจราจรแบบเดินรถทางเดียวหรอก” ดูเตอร์เต กล่าว พร้อมกับพูดต่อแบบเย้ยหยันว่า “บ๊ายบาย อเมริกา”
ทางด้านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในกรุงมะนิลา ได้ออกคำแถลงเมื่อกลางดึกวันเสาร์ (17) ย่างเข้าวันอาทิตย์ (18) ว่า วอชิงตันจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับคณะบริหารดูเตอร์เต เพื่อแก้ไขคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ที่อาจจะมีกัน แต่คำแถลงไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากกว่านี้
สำหรับทำเนียบขาวนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไรทันที เมื่อมีผู้สื่อข่าวสอบถามขอให้แสดงความเห็น แต่ โจช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทำเนียบขาวจะไม่แสดงปฏิกิริยาต่อสาธารณชนในทุกๆ ครั้ง ที่ดูเตอร์เตแสดงความเห็นแบบเรื่อยเปื่อย
ผู้นำฟิลิปปินส์วัย 71 ปี ซึ่งพูดถึงตัวเองว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายซ้าย ได้เคยพูดข่มขู่ทำนองเดียวกันนี้มาหลายครั้งทั้งก่อนและหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทว่าเขาและเจ้าหน้าที่ของเขาก็เคยถอยหลังกลับอยู่บ่อยครั้งหลังจากออกแถลงต่อสาธารณชน จนก่อให้เกิดความสับสนงุนงง
ในระหว่างการพูดร่ายยาวเมื่อวันเสาร์ (17) นั้น ขณะที่เรียกอเมริกันด้วยคำสบถหยาบคายอย่าง “ลูกโสเภณี” และ “พวกมือถือสากปากถือศีล” เขาก็กล่าวชมเชยจีนว่า มี “จิตวิญญาณแห่งความเมตตากรุณายิ่งกว่าใครๆ” สำหรับการเสนอสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นความช่วยเหลือทางการเงินอย่างสำคัญให้แก่ฟิลิปปินส์ “เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมจำเป็นต้องมีอเมริกาหรือ?” เขาตั้งคำถาม
เขายังพูดถึงรัสเซียว่า สามารถที่จะเป็นพันธมิตรรายสำคัญมากของฟิลิปปินส์ได้ “พวกเขาไม่ดูหมิ่นคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้แทรกแซงใคร” เขากล่าว
ฟิลิปปินส์มีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่จะได้รับแพกเกจความช่วยเหลืออีกก้อนหนึ่งจากมิลเลเนียม แชลเลนจ์ หลังจากแพกเกจก่อน คือ โครงการลดความยากจนระยะเวลา 5 ปีมูลค่า 434 ล้านดอลลาร์ ได้ยุติลงอย่างประสบความสำเร็จในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ภายใต้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนก่อนหน้าดูเตอร์เต ซึ่งก็คือ เบนีโญ อากีโน
ลอรา แอลเลน ผู้ทำหน้าที่โฆษกให้ มิลเลเนียม แชลเลนจ์ คอร์เปอเรชั่น แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (15) ว่า จะติดตามเหตุการณ์ต่างๆ ในฟิลิปปินส์ต่อไปอีก ก่อนถึงกำหนดการตรวจสอบทบทวนครั้งต่อไปของบอร์ดบริหารในเดือนมีนาคมปีหน้า
การตัดสินใจชะลอของหน่วยงานอเมริกันคราวนี้ นับเป็นสัญญาณแรกๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความกังวลเกี่ยวกับหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนภายใต้คณะบริหารดูเตอร์เต อาจก่อให้เกิดต้นทุนในทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
รัฐบาลสหรัฐฯ ตลอดจนสหภาพยุโรป และพวกเจ้าหน้าที่ยูเอ็น ต่างออกมาแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามยาเสพติดของดูเตอร์เต ซึ่งทำให้มีผู้ต้องสงสัยเป็นผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดสิ้นชีวิตไปกว่า 2,000 คน ในสิ่งที่อ้างกันว่าเป็นการยิงต่อสู้กับตำรวจ นอกจากนั้น ยังมีการเสียชีวิตอื่นๆ อีกกว่า 3,000 ราย ซึ่งกำลังถูกสอบสวนเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นการตายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่
ระหว่างการแถลงข่าวที่ดาเวาคราวนี้ ดูเตอร์เต ถูกถามอย่างเจาะจง ว่า มีผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรจำนวนเท่าใดแน่ที่ถูกเขาสังหารในอดีตที่ผ่านมา เมื่อตอนที่เขายังดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีนครดาเวา เนื่องจากคำพูดของเขาครั้งต่างๆ ที่ผ่านมา ดูคลุมเครือและขัดแย้งกันเอง ปรากฏว่า ดูเตอร์เตซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ และเคยเป็นอัยการมาก่อนด้วย ก็ยังคงให้คำตอบซึ่งขัดกันเองอีกครั้งหนึ่ง
“อาจจะหนึ่ง สอง หรือ สาม ... ผมขอบอกด้วยว่า ลูกกระสุนของผมอาจจะยิงถูกพวกมัน หรืออาจจะไม่ถูก แต่หลังจากเสียงปังปังปังปัง พวกมันก็ตายหมด” ดูเตอร์เต กล่าว
ครั้นเมื่อตอบคำถามอีกข้อหนึ่ง เขากล่าวว่า เขาได้ลงมือฆ่าจริงๆ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด จากนั้นก็พยายามให้เหตุผลความชอบธรรมต่อการกระทำของเขา “การที่ผมเล่าให้พวกคุณฟังในตอนนี้ว่าผมลงมือฆ่าน่ะ อย่าได้ใช้คำเรียกพวกมันว่าผู้ต้องสงสัยนะ เพราะพวกมันทั้งหมดตายในขณะที่พวกมันกำลังต่อสู้กับคนของรัฐบาล”
ดูเตอร์เตยังขอให้พระเจ้ายกโทษให้เป็นการล่วงหน้า โดยกล่าวว่า เขาอาจจะไม่มีเวลาสำหรับการสวดอ้อนวอนถ้าหากเขาถูกลอบสังหาร “พระผู้เป็นเจ้า โปรดยกโทษให้ผมด้วยสำหรับการฆ่าพวกงี่เง่าพวกนั้น” เขากล่าว จากนั้นก็ประณามพระเจ้าสำหรับการมีพวกอาชญากรอยู่ในโลก “พระองค์เป็นผู้สร้างพวกมนุษย์ปิศาจร้ายขึ้นมา ถ้าพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ต้องสร้างพวกงี่เง่าพวกนี้ด้วย? นั่นแหละพวกมันจึงต้องตาย”