เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรี จอห์น คีย์ แห่งนิวซีแลนด์ประกาศลาออกสายฟ้าแลบ ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชนชาวกีวีวันนี้ (5 ธ.ค.) โดยระบุว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศมานานถึง 8 ปี
“นี่คือการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดสำหรับผม และผมก็ยังไม่ทราบว่าจะทำอะไรหลังจากนี้” คีย์ กล่าวในงานแถลงข่าว พร้อมยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นนักการเมืองอาชีพ
“การได้เป็นทั้งหัวหน้าพรรคและผู้นำประเทศ คือประสบการณ์ที่เหลือเชื่อสำหรับตัวผม”
คีย์ ซึ่งเคยเป็นนักค้าเงินจากบริษัท เมอร์ริลล์ ลินช์ เพิ่งจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ครบ 8 ปี และเป็นผู้นำพรรคฝ่ายขวา เนชันแนล ปาร์ตี มาครบ 10 ปี โดยพรรคได้มีกำหนดนัดประชุมในสัปดาห์หน้าเพื่อเฟ้นหาบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ต่อจาก คีย์
เป็นที่คาดหมายว่า รองนายกรัฐมนตรีบิลล์ อิงลิช น่าจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรค และนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
คีย์ ยอมรับว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้ก็คือ อยากจะมีเวลาให้กับภรรยา โบรนาก และบุตรทั้ง 2 คน คือ สเตฟานี และ แม็กซ์ มากยิ่งขึ้น
“ผมขอตอบง่ายๆ ว่า ที่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพื่อค้นหาชีวิตส่วนตัวและครอบครัวที่ผมเคยมี มันคือปัจจัยหนึ่ง แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีกมาก”
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมได้เห็นผู้นำหลายคนที่อยู่ในสถานะเช่นเดียวกับผม แต่ไม่สามารถตัดสินใจแบบนี้ได้ ซึ่งผมเข้าใจว่าเพราะอะไร มันเป็นงานที่ยากจะสละทิ้ง... แต่สำหรับผมและพรรค เนชันแนล ปาร์ตี นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ผมจะไป เรามีสมาชิกพรรคจำนวนมาก และมีแหล่งทุนสนับสนุนมากพอ”
“สมาชิกพรรคทุกคนมีพรสวรรค์และพร้อมที่จะทำงานเพื่อบ้านเมือง และความสำเร็จอย่างหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจก็คือ การได้ร่วมมือกับพรรคพวกสร้างคณะรัฐมนตรีที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่น และทำงานสอดประสานกันอย่างดี นี่คือมรดกที่ผมจะทิ้งไว้ให้ผู้นำพรรคคนต่อไป”
คีย์ เพิ่งเข้าสู่ถนนสายการเมืองได้ไม่นานนัก โดยเป็น ส.ส.เมื่อปี 2002 และได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค เนชันแนล ปาร์ตี ในอีก 4 ปีต่อมา
คีย์ สามารถโค่นอดีตนายกฯ เฮเลน คลาร์ก และก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จเมื่อปี 2008 ปิดฉากการปกครองโดยพรรคแรงงานที่ยาวนานถึง 9 ปี
เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในการนำพานิวซีแลนด์ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ ในช่วงเทอมแรก รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองไครสต์เชิร์ชเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2011 ที่คร่าชีวิตประชาชนไป 185 ราย
นายกรัฐมนตรีผู้นี้ยังสามารถประคับประคองเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ให้มีเสถียรภาพในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลก โดยไม่หันไปใช้มาตรการรัดเข็มขัดเข้มงวด แต่กลับใช้แนวทางแบบคงที่และปฏิบัติได้จริง จนทำให้ดุลงบประมาณกลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008
