เอเจนซีส์ - กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ยอมรับ(14 พ.ย) เครื่องบินรบขับไล่ลำหนึ่งตกลงในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจริง หลังจากที่พยายามจะร่อนลงจอดบนดาดฟ้าของเรือบรรทุกเครื่องบินเดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ(the Admiral Kuznetsov)อยู่บริเวณนอกชายฝั่งซีเรียแต่ไม่สำเร็จ รัสเซียอ้างเป็นผลมาจากเครื่องยนต์ขัดข้อง แต่ชี้ว่านักบินสามารถดีดตัวออกมาได้ทัน และได้รับการช่วยชีวิตจากหน่วยกู้ภัยในระหว่างการฝึกซ้อม ล่าสุดวันนี้(15 พ.ย)รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู (Sergey Shoigu)ระบุ เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟได้เป็นส่วนหนึ่งของปฎิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ต่อเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายในจ.อิดลิบ(Idlib) และจ.ฮอมส์(Homs) ถือเป็นครั้งแรกของเรือรบบรรทุกครื่องบินเพียงหนึ่งเดียวของรัสเซียที่ได้เข้าสู่สมรภูมิรบจริง
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(14 พ.ย)ว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ยืนยันในวันจันทร์(14 พ.ย)การตกของเครื่องบินรบขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบินเดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ(the Admiral Kuznetsov)ว่าเกิดขึ้นจริง แต่ทว่าในแถลงการณ์ชี้ว่า นักบินขับไล่สามารถดีดตัวหนีออกมาได้ทัน
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ หนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษรายงานว่า เกิดขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งซีเรีย และถือเป็นความน่าอับอายในปฎิบัติการที่ล้มเหลวเกิดขึ้นกับเรือบรรทุกเครื่องบินที่รัสเซียทั้งประเทศมีอยู่เพียงแค่ลำเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้พบว่า เครื่องบินขับไล่สัญชาติรัสเซียซึ่งตกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้คือ เครื่องบินรบ MiG-29 จากการให้ข้อมูลของแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ได้เปิดเผยกับสื่ออเมริกัน ฟ็อกซ์นิวส์ โดยพบว่า MiG-29 ตกออกห่างจากเรือรบบรรทุกเครื่องบินเดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร และนักบินได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากน้ำโดยทีมกู้ภัยสำเร็จ
โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า “นักบินผู้ประสบอุบัติเหตุไม่ได้รับอันตรายใดๆ” และเสริมต่อว่า นักบินรายนี้จะสามารถกลับเข้าไปทำหน้าที่บินได้อีกครั้ง” นอกจากนี้ยังกล่าวต่อว่า ปฎิบัติการไม่ได้ถูกสั่งยกเลิก
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าเครื่องบินที่ตกนี้เกิดมากจากปัญหาการขัดข้องทางด้านเครื่องยนต์ และได้ตกลงหลังจากได้ขึ้นเทคออฟไปไม่นานนัก ตรงกันกับการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมรัสเซียที่ชี้ว่า สาเหตุการตกของเครื่องบินรบขับไล่ MiG-29 เนื่องจากปัญหาความขัดข้องทางเทคนิกในระหว่างการฝึกซ้อมรบ โดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ฝูงเครื่องบินรบ MiG-29 เพิ่งถูกสั่งให้เข้าประจำการบนเรือรบบรรทุกเครื่องบินเพียงลำเดียวของรัสเซีย เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ เมื่อหน้าร้อนล่าสุดนี้
และสื่อสหรัฐฯยังได้รายงานต่อว่า MiG-29 ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินที่สามารถปฎิบัติการสภาวะที่ยากลำบากจากการปฎิบัติหน้าที่พร้อมกับเรือบรรทุกเครื่องบินกลางทะเล ซึ่งทางวอชิงตันโพสต์เชื่อว่า เป็นฝูงบินรบที่เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ซึ่งได้เข้าประจำการตั้งแต่ยุค 80
บีบีซีรายงานต่อว่า เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ นั้นอยู่ในฝูงเรือรบขนาดใหญ่ที่ทางเครมลินส่งไปช่วยประธานาธิบดีซีเรียล่าสุด โดยจะจอดลอยลำอยู่นอกชายฝั่งซีเรีย ซึ่งนาโตได้ออกมาแสดงความวิตกที่ฝูงเครื่องบินประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้จะถูกใช้เพื่อไปสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์
ล่าสุดวันนี้(15 พ.ย)กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ผ่านการรายงานของ RT สื่อรัสเซียว่า เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟอยู่ในปฎิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ต่อกลุ่มก่อการร้ายในในจ.อิดลิบ(Idlib) และจ.ฮอมส์(Homs)ของซีเรีย
“วันนี้ในเวลา 10.30 น. และเวลา 11.00 น. รัสเซียได้ออกปฎิบัติขนาดใหญ่ต่อจุดที่ตั้งของ IS และอัล-นุสรา(กลุ่มก่อการร้าย)ในจังหวัดอิดลิบและจังหวัดฮอมส์” รายงานจากแถลงการณ์รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู (Sergey Shoigu) และในแถลงการณ์ เขายังชี้ว่า ***นี่เป็นครั้งแรกที่ เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ เข้าร่วมในปฎิบัติการทางทหารของกองทัพรัสเซีย***
นอกจากนี้รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียยังชี้ว่า เครื่องบินรบ Sukhoi Su-33 ยังได้บินทะยานออกจากดาดฟ้าเรือรบบรรทุกเครื่องบิน เดอะแอดมิรัลคุซเน็ตซอฟ ในวันนี้(15)เช่นกัน
ซึ่งผลจากการโจมตี ซอยกูระบุว่า ที่ตั้งทางการทหารของกลุ่มก่อการร้ายถูกโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์ที่ยิงออกมาจากเรือฟรีเกต แอดมิรัล กริกอโรวิช(‘Admiral Grigorovich’) ซึ่งเขาได้ระบุว่าเป็นการโจมตีโรงงานผลิตอาวุธและคลังแสงที่กลุ่มนักรบยิฮัดในซีเรียเป็นผู้ควบคุม “เป้าหมายการโจมตีคือ คลังแสงอาวุธที่กลุ่มก่อการร้ายได้เก็บกระสุนไว้เป็นจำนวนมาก และรวมไปถึงที่ตั้งศูนย์ฝึกทางทหารของกลุ่มก่อการร้าย และรวมไปถึงโรงงานผลิตอาวุธหลากประเภทที่มีประสิทธิภาพทำลายล้างสูง”
นอกจากนี้รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียยังกล่าวต่อว่า “นี่ถือเป็นการผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งนี่เป็นเป้าหมายการโจมตีของรัสเซียสำหรับวันนี้ และจะยังคงมีอยู่ต่อไป” ทั้งนี้ซอยกูยังย้ำว่า ทางรัสเซียได้ทำการสำรวจอย่างละเอียดในเป้าหมายล่วงหน้าก่อนลงมือปฎิบัติการ และทางรัสเซียได้เลือกเฉพาะในส่วนที่สำคัญมากที่สุด
“พวกคุณสามารถตระหนักได้ว่าทางเราได้ส่งกองกำลังขนาดใหญ่ของพวกเราที่ประกอบไปด้วย หน่วยเชี่ยวชาญด้านเคมีและชีววิทยาเพื่อจะตรวจสอบสารพิษที่ถูกใช้โดยกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา คนเหล่านี้ได้ใช้อาวุธเคมีจู่โจมถึง 2 ครั้ง และในครั้งหนึ่งทำให้ผู้ได้รับสารพิษถึง 27 คนต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย และในอีกกรณี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 30 คน ซึ่งผมหมายถึง ทหารของกองทัพซีเรีย”
และ RT รายงานต่อว่า เมื่อนักข่าวได้ถามโฆษกประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เพชคอฟ(Dmitry Peskov)ถึงความเป็นไปได้ในปฎิบัติการที่ได้เริ่มตั้งแต่ในวันอังคาร(15 พ.ย)จะสามารถขยายขอบเขตของปฎิบัติการออกไปจนครอบคลุมถึงเมืองอะเลปโป( Aleppo) แต่ทว่าเพชคอฟตอบกลับมาว่า “อะเลปโปไม่ได้ถูกเอ่ยถึงในรายงานของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ซึ่งได้ระบุถึงจุดปฎิบัติการเท่านั้นคือ จ.อิดลิบ และจ.ฮอมส์”
