เอเอฟพี - โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ยืนยันไม่ขอรับเงินเดือนปีละ 400,000 ดอลลาร์ และจะทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เช่น การแต่งตั้งบุคลากรสายอนุรักษนิยมเข้าดำรงตำแหน่งในศาลสูงสุด ปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมาย และลดภาษี พร้อมปลอบขวัญชาวอเมริกัน “ไม่มีอะไรต้องกลัว” หลังจากที่ตนเป็นประธานาธิบดี
ทรัมป์ วัย 70 ปี เปลี่ยนความห้าวเป้งในช่วงหาเสียงให้กลายเป็นบุคลิกที่นุ่มนวลยิ่งขึ้นขณะให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรกหลังชนะการเลือกตั้ง โดยยอมรับว่ารู้สึก “เสียใจ” ที่ได้ยินข่าวว่าชาวมุสลิมและฮิสแปนิกถูกข่มขู่คุกคาม พร้อมเรียกร้องให้ผู้ที่กระทำ “หยุดเสีย”
การพูดคุยในรายการ 60 Minutes ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสซึ่งบันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (11) และออกอากาศเต็มในวันอาทิตย์ (13) ถือเป็นโอกาสที่ ทรัมป์ จะได้แนะนำตัวเองใหม่ หลังจากนโยบายหาเสียงแบบก้าวร้าวสุดโต่งของเขาได้สร้างความแตกแยกอย่างหนักในสังคม และชัยชนะอย่างไม่คาดฝันของ ทรัมป์ ก็ก่อให้เกิดการชุมนุมต่อต้านตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วสหรัฐฯ อยู่ในเวลานี้
“ผมคิดว่าพวกเขายังไม่รู้จักผมดีพอ” ทรัมป์ เอ่ยถึงชาวอเมริกันหลายพันคนที่ชุมนุมประท้วงอยู่รอบๆ อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ในนครนิวยอร์ก และชูป้ายข้อความว่า ทรัมป์ “ไม่ใช่ประธานาธิบดีของเรา”
เมื่อพิธีกรถามว่า เขาคิดอย่างไรที่คนอเมริกันจำนวนมากหวาดกลัวที่จะได้เขาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ก็ตอบว่า “อย่ากลัวเลยครับ เรากำลังจะนำประเทศกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐีฝีปากกล้ายังคงย้ำจุดยืนขวาจัดในหลายๆ เรื่อง เช่น จะแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ต่อต้านการทำแท้ง และสนับสนุนสิทธิในการครอบครองอาวุธปืน
“ผู้พิพากษาเหล่านี้จะต้องเป็นคนที่สนับสนุนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแก้ไขฉบับที่ 2 (Second Amendment)” ทรัมป์กล่าว
ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ จะมีสิทธิ์เสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่มาแทนที่ แอนโทนิน สกาเลีย ผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมสุดขั้วที่เพิ่งเสียชีวิตไป
ก่อนหน้านี้ วุฒิสภาซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้คัดค้านความพยายามของ บารัค โอบามา ที่จะแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ โดยระบุว่าควรรอให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่เสร็จสิ้นเสียก่อน
ในประเด็นผู้อพยพ ทรัมป์ ยืนยันว่าจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโกอย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่าบางส่วนอาจจะเป็นแค่ “รั้ว” กั้น ส่วนผู้อพยพไร้ทะเบียนราว 3 ล้านคนที่มีประวัติอาชญากรรมก็จะต้องถูกเนรเทศ หรือไม่ก็จำคุก
“สิ่งที่เราจะทำก็คือ จัดการกับคนที่เป็นอาชญากรหรือมีประวัติก่ออาชญากรรม พวกแก๊งอันธพาล และผู้ค้ายาเสพติด”
“เรามีคนเหล่านี้อยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก อาจจะ 2-3 ล้านคน เราจะเนรเทศพวกเขาออกไป หรือไม่ก็จับขังคุกเสีย”
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับผู้อพยพอีกหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย แต่ทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง
“หลังจากพรมแดนได้รับการป้องกัน และทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ เราจะกลับมาพิจารณากลุ่มบุคคลที่คุณเอ่ยถึง ซึ่งเป็นประชากรที่ดีเยี่ยม” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์ ระบุด้วยว่า ปัญหาผู้อพยพเป็น 1 ใน 3 ประเด็นสำคัญทางกฎหมายที่ตนได้หารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎร พอล ไรอัน ส่วนอีก 2 ประเด็นคือ การยกเลิกโครงการประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” และการออกกฎหมายเพื่อลดภาษี หรือปฏิรูปกฎหมายภาษีให้มีความซับซ้อนน้อยลง
เมื่อไม่กี่วันก่อน ทรัมป์ ออกมาพูดเป็นนัยๆ ว่า เขาจะยังคงบางแง่มุมของกฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์เอาไว้ เช่น การห้ามมิให้บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายเงิน ในกรณีที่ผู้ประกันตนป่วยเป็นโรคนั้นๆ ก่อนกรมธรรม์มีผลบังคับ (pre-existing conditions)
ทรัมป์ ยังส่งสัญญาณประนีประนอมในเรื่องอื่นๆ เช่น จะไม่คว่ำกฎหมายการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกันในสหรัฐฯ
“มันเป็นกฎหมายนี่ครับ ศาลสูงสุดอนุมัติไปแล้วก็คือจบ” ทรัมป์ ให้คำตอบ เมื่อพิธีกรถามว่าเขาจะสนับสนุนความเท่าเทียมในเรื่องการสมรสหรือไม่
มหาเศรษฐีชาวนิวยอร์กยังยืนยันว่าจะไม่รับเงินเดือนประธานาธิบดี 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่จะขอรับเพียง 1 ดอลลาร์ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
“ผมจะไม่รับเงินเดือน... แต่เข้าใจว่าตามกฎหมายผมจำเป็นต้องรับอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ ฉะนั้น ผมก็จะรับแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี”
เมื่อวานนี้ (13) ทรัมป์ ได้ประกาศแต่งตั้ง ไรน์ซ พรีบัส ประธานคณะกรรมการพรรครีพับลิกันแห่งชาติ เป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว และให้ สตีเฟน เค. แบนนอน เป็นหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ ซึ่งถือเป็นการวางตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงกลุ่มแรกในรัฐบาลชุดใหม่
ทรัมป์ ยังบอกผ่านรายการ 60 Minutes ด้วยว่า การเป็นประธานาธิบดีจะไม่ทำให้เขา “สงบปากสงบคำ” มากกว่าเดิม
“ผมไม่อยากเป็นแค่ตัวละครเล็กๆ น่ารักที่เอาแต่พูดจาราบเรียบน่าเบื่อ” ทรัมป์ กล่าว
ว่าที่สตรีหมายเลขหนึ่ง “เมลาเนีย ทรัมป์” ได้มาให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ด้วย รวมถึง อีแวนกา ทรัมป์ บุตรสาวคนสวยของมหาเศรษฐีปากร้ายซึ่งมีรายชื่ออยู่ในทีมงานช่วงเปลี่ยนผ่านของบิดา แต่เจ้าตัวยืนยันแล้วว่า ไม่คิดรับตำแหน่งในรัฐบาลใหม่
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดิฉันรู้สึกว่าอยากจะแก้ไข” เธอกล่าว พร้อมยกตัวอย่างความเท่าเทียมทางรายได้ การดูแลเด็กเล็ก และโอกาสที่มากขึ้นสำหรับผู้หญิง
“แต่ดิฉันคงไม่เข้าไปรับตำแหน่งในฝ่ายบริหารอย่างเป็นทางการ”