รอยเตอร์/เอเอฟพี/MGR ออนไลน์ - อัยการเกาหลีใต้ระบุวันอาทิตย์ (13 พ.ย.) ว่าจะสอบปากคำประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย สัปดาห์หน้า ในกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตฉ้อฉลทางการเมืองซึ่งกำลังส่งผลกระทบกระเทือนหนักหน่วงต่อฐานะของเธอ หลังจากที่ได้เรียกสอบพวกผู้บริหารสูงสุดของเครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง ฮุนไดมอเตอร์, โคเรียนแอร์ไลน์ส, ซัมซุง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น มีประชาชนเกาหลีใต้ร่วมล้านออกมาเดินขบวนในกรุงโซลเมื่อวันเสาร์ (12) เรียกร้องให้ประมุขหญิงของประเทศผู้นี้ลาออก
สำนักข่าวยอนฮัป ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากทางการเกาหลีใต้ รายงานในวันอาทิตย์ (13) โดยอ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายอัยการผู้หนึ่งกล่าวว่า การสอบปากคำประธานาธิบดีพัค ควรจะกระทำกันได้ไม่เกินวันพุธ (16) นี้ ทั้งนี้ยอนฮัปกล่าวว่าพัคจะให้การในฐานะพยาน
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ก็อ้างเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในสำนักงานอัยการของเกาหลีใต้ได้กล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว เรากำลังมีแผนจะสอบปากคำท่านประธานาธิบดี ทว่ายังไม่ได้กำหนดวันเวลาแน่นอน” และพูดย้ำว่า “การสอบปากคำแบบพบหน้ากันเช่นนี้ คือหลักการของเรา”
สำหรับทางสำนักงานของพัคแถลงว่า จะต้องรอไปจนถึงวันอังคาร (15) เป็นอย่างเร็วสุด ทางสำนักงานจึงจะสามารถแถลงให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนการนี้ของสำนักงานอัยการ อีกทั้งกำลังพิจารณาที่จะจัดหาทนายความให้แก่ประธานาธิบดีด้วย
ถึงแม้ในอดีตที่ผ่านมา มีประธานาธิบดีเกาหลีบางคนมัวหมองพัวพันกับกรณีฉาวโฉ่ หรือถูกกล่าวหากระทำความผิดทางอาญาซึ่งพาดพิงพัวพันถึงพวกสมาชิกในครอบครัวในระหว่างที่พวกเขาครองอำนาจอยู่ ทว่ายังไม่มีคนไหนเลยซึ่งถูกสอบปากคำตรงๆ จากฝ่ายอัยการขณะที่อยู่ในตำแหน่ง และดังนั้น พัคจะกลายเป็นประธานาธิบดีโสมขาวคนแรกในเรื่องนี้
สำนักข่าวยอนฮัปและสื่อเกาหลีใต้อื่นๆ ยังรายงานในวันอาทิตย์ (13) ว่า อัยการโสมขาวได้ดำเนินการสอบปากคำ ชุง มองคู ประธานของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ ฮุนไดมอเตอร์, โช ยังโฮ ประธานของสายการบิน โคเรียนแอร์ไลนส์, และลี เจยอง รองประธานของซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นทายาทและผู้บริหารสูงสุดในทางพฤตินัยของซัมซุงกรุ๊ป ตลอดจนบิ๊กบอสของเครือกิจการยักษ์ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “แชโบล” รายอื่นๆ ต่อไปอีก
ยอนฮัปอ้างแหล่งข่าวในแวดวงอัยการหลายรายระบุว่า ทางอัยการกำลังสอบสวนเรื่องที่ว่า ประธานาธิบดีพัคได้ใช้แรงกดดันบีบคั้นอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม ต่อเหล่าบิ๊กบอสของแชโบลต่างๆ หรือเปล่า เพื่อให้บริจาคเงินแก่มูลนิธิ 2 แห่ง ซึ่งเวลานี้กลายเป็นศูนย์กลางของกรณีอื้อฉาวที่ ชอย ซุนซิล เพื่อนสนิทคนหนึ่งของพัค ถูกกล่าวหาว่าอาศัยความใกล้ชิดกับประมุขหญิง เพื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของรัฐ ตลอดจนแผ่อิทธิพลเข้าไปในแวดวงการกีฬาและวัฒนธรรม
มูลนิธิ 2 แห่งนี้จัดตั้งขึ้นมาด้วยการอ้างวัตถุประสงค์ว่าเพื่อสนับสนุนประชาคมทางวัฒนธรรมและทางการกีฬา โดยที่ประธานาธิบดีพัคกล่าวยอมรับว่า เธอได้หารือกับพวกนายใหญ่ของแชโบลต่างๆ ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ถึงความปรารถนาของเธอที่จะให้พวกเขามีบทบาทมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นในเรื่องวัฒนธรรม ทว่าเธอไม่ได้ลงลึกไปในรายละเอียด
ขณะที่สื่อโสมขาวเจาะข่าวรายงานว่า แชโบลต่างๆ ได้ “บริจาค” ให้แก่มูลนิธิทั้ง 2 แห่งรวมเป็นจำนวนร่วมๆ 70 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ 20,000 ล้านวอน (17.5 ล้านดอลลาร์) มาจากซัมซุง และ 12,800 ล้านวอน มาจากฮุนได
เจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการยืนยันกับรอยเตอร์ว่า ประธานของฮุนไดมอเตอร์ถูกสอบปากคำไปแล้วในวันเสาร์ (12) แต่ไม่ยืนยันว่าบิ๊กบอสของแชโบลอื่นๆ ได้พบอัยการหรือไม่
แต่โฆษกของโคเรียนแอร์ไลนส์ ยืนยันข่าวของสื่อมวลชนที่ว่า โช ยังโฮ ประธานของกลุ่มฮันจิน ซึ่งเป็นเจ้าของโคเรียนแอร์ไลนส์ สายการบินแห่งชาติและก็เป็นสายการบินใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ได้ไปปรากฏตัวให้ปากคำต่อหน้าทีมงานฝ่ายอัยการในวันอาทิตย์ (13) ทว่าไม่ให้รายละเอียดมากไปกว่านี้
ส่วนโฆษกของฮุนไดมอเตอร์ปฏิเสธไม่ขอให้ความเห็นใดๆ สำหรับซัมซุงกรุ๊ปกล่าวว่าไม่สามารถยืนยันรายงานข่าวนี้ได้ในขณะนี้
แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมอัยการเกาหลีใต้ได้บุกเข้าตรวจค้นซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในกิจการของเครือซัมซุงกรุ๊ป โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนกรณีอื้อฉาวนี้ รวมทั้งเพื่อหาหลักฐานในคดีที่แยกต่างหากอีกคดีหนึ่ง ได้แก่คดีที่ซัมซุงได้เงินเงิน 2.8 ล้านยูโร (3.1 ล้านดอลลาร์) แก่บริษัทแห่งหนึ่งที่ควบคุมโดยชอยและบุตรสาวของเธอ โดยที่มีรายงานว่าชอยได้นำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายเป็นค่าเข้ารับการอบรมการเป็นนักขี่ม้าให้แก่บุตรสาวของเธอในประเทศเยอรมนี
พัค ซึ่งเรตติ้งความสนับสนุนจากประชาชนได้ตกฮวบลงสู่ระดับ 5% อันเป็นระดับต่ำสุดเท่าที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ผู้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเคยได้รับกันมา เวลานี้กำลังเผชิญเสียงเรียกร้องดังขึ้นทุกทีให้เธออำลาตำแหน่ง
เมื่อวันเสาร์ (12) ที่ผ่านมา ผู้คนหลายแสนคนชุมนุมเดินขบวนในกรุงโซล เพื่อเรียกร้องให้เธอลาออก สืบเนื่องจากข้อกล่าวหาที่ว่าเธอปล่อยให้ชอยเข้ามายุ่มย่ามในกิจการของรัฐ
การชุมนุมเดินขบวนในวันเสาร์ (12) ที่ย่านใจกลางเมืองหลวงคราวนี้ ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในวิกฤตการณ์ซึ่งกำลังแผ่ขยายเข้าปกคลุมตัวพัค ผู้ที่เวลานี้มีอายุ 64 ปี ทั้งนี้พวกผู้จัดกล่าวว่า มีประชาชนราว 850,000 คนหรือกระทั่งกว้าล้านคนทีเดียว ออกมาประท้วงประธานาธิบดีหญิงจนแน่นถนนสายต่างๆ ซึ่งตัดผ่านแถบใจกลางเมือง รวมทั้งถนนใหญ่มหึมาขนาด 12 เลนสายหนึ่งด้วย ขณะที่ตำรวจประมาณการฝูงชนเอาไว้ที่ 260,000 คน
ผู้ชุมนุมมากมายพากันตะโกนว่า “พัค กึน-ฮเย ออกไป!” พวกเขามีทั้งนักเรียนมัธยมปลาย, แม่ชีคาทอลิก, ผู้ใช้แรงงาน, เกษตรกร, ผู้เกษียณอายุ, ครอบครัวพ่อแม่หนุ่มสาวที่เข็นรถเข็นพาลูกน้อยมาด้วย, และกระทั่งผู้ประท้วงที่นั่งมาในรถเข็นสำหรับผู้พิการหรือคนชรา ระหว่างการเดินขบวนในวันเสาร์ (11) ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างสงบ ตรงกันข้ามกับความรุนแรงของการชุมนุมก่อนหน้านี้บางครั้งบางคราวซึ่งครอบงำโดยกลุ่มสหภาพแรงงานและกลุ่มภาคประชาสังคมหัวรุนแรงที่มักปะทะกับตำรวจอยู่เสมอ
ชายผู้หนึ่งเดินทางเป็นเวลา 7 ชั่วโมงจากเมืองกิมเฮ ทางภาคใต้ของประเทศ เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมในเมืองหลวงคราวนี้ ซึ่งเรียกร้องให้พัคอำลาตำแหน่งไปตั้งแต่ตอนนี้ หรือ 1 ปีก่อนที่วาระของเธอจะสิ้นสุดลง
“พัค กึน-ฮเย! ออกไป! วันนี้! ออกไป! ทันที!” ผู้ประท้วงตะโกนก้องขณะอยู่ห่างไม่กี่ร้อยเมตรจากทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่มีชื่อว่า “บลูเฮาส์”
“ฉันมาอยู่ที่นี่เพื่อให้ประเทศนี้เป็นสถานที่ดีกว่านี้สำหรับลูกสาวของฉัน” พัค มินฮี วัย 34 ปี แม่บ้านซึ่งเข้าร่วมการชุมนุมพร้อมกับบุตรสาววัยเยาว์ 2 คนของเธอและพ่อแม่ของสามีเธอ “พัค กึน-ฮเยทำความผิด เธอต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
ครั้งนี้เป็นสุดสัปดาห์ที่ 3 แล้วที่เกิดการชุมนุมประท้วงขึ้น นับตั้งแต่ที่พัคออกมาแถลงขอโทษต่อสาธารณชนครั้งแรกในวันที่ 25 ตุลาคม เมื่อเธอยอมรับว่าเธอได้ขอคำแนะนำจาก ชอย
แต่การยอมรับของ พัค กลับกลายเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้แก่ความโกรธเกรี้ยวของประชาชน ผู้ซึ่งยิ่งระแวงสงสัยคนสนิทลับๆ ของเธอผู้นี้ ที่ดูเหมือนไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาลอย่างเป็นทางการใดๆ แต่ได้อ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำปราศรัยคำแถลงของประธานาธิบดี ล่วงหน้าก่อนที่เธอจะแถลงอย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้น พัคได้ขอโทษต่อสาธารณชนอีกครั้ง และเสนอที่จะทำงานร่วมกับฝ่ายค้านในรัฐสภาเพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ อีกทั้งยังสละอำนาจบางอย่างของเธออีกด้วย ทว่านี่ก็ยังคงล้มเหลวไม่สามารถสกัดกั้นวิกฤตได้ ทำให้ปรปักษ์ของเธอหลายรายออกมาพูดว่าเธอยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำไปเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน
พัคได้ปลดและเปลี่ยนพวกที่ปรึกษาอาวุโสที่สุดและใกล้ชิดที่สุดของเธอหลายคน และมีอดีตผู้ช่วยหลายคนถูกตำรวจจับกุมด้วยข้อหาใช้อำนาจในทางมิชอบ ขณะที่ ชอย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพื่อนผู้คุ้นเคยกับประธานาธิบดีอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 รวมทั้งได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์บางอย่างให้พัคด้วย ก็ถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาว่าใช้อำนาจโดยมิชอบและฉ้อฉลทุจริต
สมาชิกหลายรายของพวกฝ่ายค้านหลักๆ เข้าร่วมการชุมนุมเดินขบวนในวันเสาร์ (12) ด้วย เรื่องนี้บ่งบอกให้เห็นว่ากำลังมีแรงสนับสนุนในรัฐสภาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้ดำเนินการปลดพัคออกจากตำแหน่ง ถึงแม้ยังไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการใดๆ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีก็ตามที
ที่ผ่านมายังไม่มีประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใดเลย ซึ่งไม่สามารถครองอำนาจจนครบวาระ 5 ปีของพวกเขาได้
ในช่วงหลังเที่ยงคืนซึ่งการชุมนุมส่วนใหญ่ยุติลงแล้ว มีผู้คนหลายร้อยคนที่พยายามเดินขบวนฝ่าเข้าไปในช่วงสุดท้ายของถนนซึ่งนำไปสู่ทำเนียบบลูเฮาส์ ทว่าถูกสกัดกั้นจากตำรวจในชุดปราบจลาจล ซึ่งได้จัดตั้งเครื่องกีดขวางขึ้นโดยใช้รถบัสตำรวจหลายคันจอดเรียงซ้อนกันอย่างแน่นหนา
สำหรับเรตติ้งความยอมรับจากประชาชนของพัค ได้ตกลงสู่ระดับ 5% เป็นสัปดาห์ที่ 2 ทั้งนี้ตามผลการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสำนักแกลลัปโคเรีย และเผยแพร่ออกมาเมื่อวันศุกร์ (11) ตัวเลขนี้ถือเป็นระดับต่ำสุดเท่าที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เคยได้รับกันนับแต่มีการทำโพลเช่นนี้ขึ้นเมื่อแดนโสมขาวมีประมุขที่ได้รับเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยในปี 1988