เอเจนซีส์ - อีเมลที่เอฟบีไอเพิ่งค้นพบใหม่ และระบุว่า อาจเกี่ยวข้องกับเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของ “ฮิลลารี คลินตัน” ยังคงพ่นพิษอันตรายต่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของพรรคเดโมแครตรายนี้ โดยโพลที่ออกมาเมื่อวันอาทิตย์ (30 ต.ค.) ชี้ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” คู่แข่งสำคัญที่พรรครีพับลิกันส่งเข้าประกวด มีคะแนนจี้ติดเข้ามาชนิดหายใจรดต้นคอ ขณะที่วุฒิสมาชิกหัวแถวของเดโมแครต กล่าวหาผู้อำนวยการเอฟบีไอที่จุดพลุเรื่องนี้ในห้วงเวลานี้ ว่า อาจกระทำผิดกฎหมาย เพราะพยายามโน้มน้าวการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม สื่อรายงานว่า เอฟบีไอได้หมายค้นมาแล้ว เพื่อเดินหน้าตรวจสอบว่าอีเมลล็อตใหม่เหล่านี้พัวพันกับคลินตันหรือไม่
เครือข่ายทีวีในอเมริการายงานเมื่อวันอาทิตย์ (30) ว่า สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้หมายค้นมาแล้ว ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่า อีเมลที่พบใหม่เหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวที่ ฮิลลารี คลินตัน ใช้ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ระหว่างปี 2009 - 2013 หรือไม่
ซีเอ็นเอ็นยังรายงานว่า เอฟบีไอพบอีเมลใหม่ดังกล่าวนี้หลายสัปดาห์แล้ว แต่เพิ่งมาเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (28 ต.ค.)
เรื่องที่คลินตันใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวในการรับส่งอีเมลระหว่างที่เธอเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทำให้เธอถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะจากพรรครีพับลิกันนั้น เอฟบีไอได้ปิดการสอบสวนของตนไปเมื่อเดือนกรกฎาคมโดยเพียงแต่ตำหนิคลินตันอย่างแรง ทว่า ไม่เห็นว่าสมควรฟ้องร้องเธอในความผิดทางอาญา
การขุดคุ้ยกรณีอีเมลฉาวของคลินตันขึ้นมาใหม่ในคราวนี้ ทำให้ เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ถูกกดดันอย่างหนักจากพรรคเดโมแครต ให้เร่งเปิดเผยรายละเอียดโดยเร็ว เนื่องจากเกรงว่า เรื่องราวจะบั่นทอนคะแนนเสียงของคลินตันและพรรค ในขณะที่เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง 8 พฤศจิกายนอยู่แล้ว นอกจากนั้น หากเรื่องยืดเยื้อต่อไปอีก แม้เมื่อคลินตันเป็นฝ่ายชนะ ก็อาจส่งผลต่อเรื่องการรับมอบอำนาจเพื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของเธอ
ถึงแม้การเปิดเรื่องนี้ของโคมีย์ ซึ่งอยู่ในรูปจดหมายส่งถึงรัฐสภาเมื่อวันศุกร์ (28 ต.ค.) เป็นการแจ้งเรื่องการค้นพบอีเมลใหม่ดังกล่าว โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด และไม่มีการระบุชัดเจนว่า จะมีความสำคัญกระทบต่อผลการสอบสวนเดิมหรือไม่อย่างไร ทว่า ก็ได้ส่งผลให้การต่อสู้ระหว่างคลินตันกับ ทรัมป์ เกิดความผันผวนสับสนหนัก และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงหลัง ๆ นี้คลินตันสามารถทำคะแนนทิ้งห่างทรัมป์ออกไป
โดยในวันอาทิตย์ (30) เอบีซี นิวส์/วอชิงตัน โพสเผยผลสำรวจที่พบว่า คลินตันมีคะแนนนำทรัมป์ทั่วประเทศแค่ 1% แถมผู้ที่มีแนวโน้มออกไปใช้สิทธิ์ 1 ใน 3 ยังบอกว่า จดหมายของโคมีย์ทำให้ไม่คิดสนับสนุนคลินตัน
ขณะที่โพลของนิวยอร์ก ไทมส์ อัปช็อต/สถาบันวิจัยวิทยาลัยเซียนา พบว่า ในฟลอริดา ซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่แคนดิเดตต้องชนะให้ได้ ทรัมป์ซึ่งเคยตามคลินตันอยู่ 1% ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายนำ 4% แล้ว
การเปิดประเดินอีเมลฉาวของคลินตันอีกครั้ง ยังเขย่าความเชื่อมั่นในตลาดการเงินที่ว่า แคนดิเดตจากเดโมแครตจะเป็นฝ่ายชนะ และฉุดให้ค่าดอลลาร์อ่อนลงเมื่อเทียบเงินสกุลหลักหลายสกุลในการซื้อขายช่วงเช้าวันจันทร์ (31 ต.ค.) ที่ตลาดเอเชีย
ในวันอาทิตย์ (30) เช่นกันวุฒิสมาชิก แฮร์รี รีด ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา ทำหนังสือถึงโคมีย์ ระบุว่า ผู้อำนวยการเอฟบีไออาจละเมิด “กฎหมายแฮตช์” ที่ห้ามใช้ตำแหน่งในรัฐบาลโน้มน้าวการเลือกตั้ง
ขณะที่ จอห์น โพเดสตา ประธานทีมรณรงค์หาเสียงของคลินตัน ให้สัมภาษณ์รายการ “สเตท ออฟ ดิ ยูเนียน” ของซีเอ็นเอ็น ว่า จดหมายของโคมีย์มีแต่ถ้อยคำเสียดสี แต่ปราศจากข้อเท็จจริง และกล่าวหา นายใหญ่เอฟบีไอละเมิดบรรทัดฐานด้วยการเปิดเผยแง่มุมการสอบสวนก่อนที่จะถึงกำหนดเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน พร้อมกันนี้ โพเดสตายังเรียกร้องให้โคมีย์อธิบายให้กระจ่างว่า อีเมลที่กำลังตรวจสอบอยู่สำคัญอย่างไร
ทั้งนี้ แหล่งข่าววงใน เผยว่า โคมีย์ส่งจดหมายถึงรัฐสภาทั้งที่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมหลายคนพยายามคัดค้าน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ได้พยายามหยุดยั้งการขอหมายค้นของเอฟบีไอ เนื่องจากเห็นด้วยว่า ควรตรวจสอบเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดในการสอบสวน ยังเปิดเผยว่า อีเมลล่าสุดที่ค้นพบ มาจากการสืบสวนในอีกคดีหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลินตันโดยตรง นั่นคือ การตรวจสอบ แอนโธนี วีนเนอร์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต และเป็นสามีของ ฮูมา อาเบดิน ผู้ช่วยสำคัญของคลินตัน กรณีที่วีนเนอร์ส่งข้อความส่อนัยทางเพศถึงนักเรียนหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่งในนอร์ทแคโรไลนา อันถือเป็นความผิดทางอาญา โดยถึงแม้เอฟบีไอได้หมายค้นแล็บท็อปของวีนเนอร์แล้ว แต่ยังต้องการหมายค้นเพื่อตรวจสอบข้อมูลในแล็บท็อปว่า เกี่ยวโยงถึงคลินตันหรือไม่
แหล่งข่าวแจงว่า เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ตรวจสอบคดีของวีนเนอร์อยู่และเห็นข้อมูลในแล็ปท็อปดังกล่าว เชื่อว่า ข้อมูลนั้นอาจเชื่อมโยงกับการสอบสวนพฤติกรรมการใช้อีเมลของคลินตันขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ
การขุดคุ้ยอีเมลฉาวของคลินตันครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสทองสำหรับทรัมป์ในการย้ำว่า อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ทุจริตและไม่น่าไว้วางใจ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เพื่อกำจัดการทุจริต