“ส่วนหนึ่งในความงดงามของตัวผมก็คือ ผมรวยมากๆ” ครั้งหนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เคยบอกเอาไว้อย่างนี้ ทว่าตามรายงานของนิตยสาร “ฟอร์บส์” ฉบับล่าสุด เวลานี้เขารวยน้อยลงกว่าเมื่อ 1 ปีก่อนเยอะทีเดียว
นิตยสารธุรกิจชื่อดังฉบับนี้ได้ทบทวนประเมินทรัพย์สมบัติส่วนตัวของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันส่งเข้าประกวดผู้นี้ และพบว่าเขาสูญเสียความมั่งคั่งไป 800 ล้านดอลลาร์ทีเดียวนับแต่ปี 2015
เวลานี้ฟอร์บส์ประมาณการว่ามูลค่าสุทธิของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ผู้นี้อยู่ที่ 3,700 ล้านดอลลาร์
นิตยสารฉบับนี้ระบุว่า สาเหตุหลักของการที่เขารวยน้อยลงคราวนี้ ได้แก่การที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของนิวยอร์ก “กำลังอ่อนตัวลง”
ทรัมป์นั้นครั้งหนึ่งเคยเขียนหนังสือที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “Midas Touch” ซึ่งมีเนื้อหาพูดถึงการเป็น “ผู้ประกอบการ” ที่จับต้องอะไรก็เป็นทองไปหมดแบบกษัตริย์ไมดาสในเทพนิยายกรีก
แถมในช่วงรณรงค์หาเสียงเขาก็บอกว่าอเมริกาจำเป็นต้องให้ “สุดยอดนักเจรจาทำข้อตกลง” (dealmaker-in-chief) ไปนั่งในทำเนียบขาว
ระหว่างการโต้วาทีของ 2 ตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อคืนวันจันทร์ (26 ก.ย.) ที่ผ่านมา เขาก็พูดย้ำความรวยของเขาเอาไว้ว่า “ผมมีรายได้มากมายมหาศาล ... มันถึงเวลาแล้วที่สหรัฐอเมริกาต้องมีใครสักคนซึ่งมีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาบริหารประเทศนี้”
แล้วเขาสูญเงิน 800 ล้านเหรียญไปยังไง?
ฟอร์บส์ ซึ่งได้ติดตามคำนวณความมั่งคั่งร่ำรวยของอภิมหาเศรษฐีในสหรัฐฯ ซึ่งก็รวมถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วย อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรัพย์สมบัติของทรัมป์ลดถอยลงไป ได้แก่การที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านการค้าปลีกและอาคารสำนักงานในนิวยอร์กอยู่ในภาวะย่ำแย่
ในจำนวนทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์ 28 แห่งที่ทรัมป์มีเอี่ยวอยู่ด้วย ซึ่งนิตยสารฟอร์บส์ทำการประเมินใหม่นั้น มีถึง 18 แห่งซึ่งมูลค่ากำลังลดลง รวมทั้งทรัพย์สินที่ถือเป็น “เรือธง” ของเขาอย่างอาคาร “ทรัมป์ ทาวเวอร์” บนถนนฟิฟท์ อะเวนิว ในย่านแมนฮัตตัน
ทรัพย์สินที่เขาถืออยู่ในอาคาร 40 วอลล์สตรีท (40 Wall Street) และคฤหาสน์มาร์-อะ-ลาโก (Mar-a-Lago) ซึ่งเป็นสโมสรส่วนตัวที่เขาเป็นเจ้าของในเมืองพาล์มบีช รัฐฟลอริดา ก็มีมูลค่าต่ำลงเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี มีอสังหาริมทรัพย์ที่ทรัมป์มีเอี่ยวด้วย 7 แห่ง เป็นต้นว่า อาคารสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเมืองซานฟรานซิสโก มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
การหาเสียงของเขาทำให้เขาสิ้นเงินไปเท่าใดแล้ว?
หลักการสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการลงแข่งของทรัมป์คราวนี้คือ เขาประกาศว่ามีความสามารถที่จะสนับสนุนด้านเงินทุนแก่การรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาเองได้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ต้องตกเป็นหนี้บุญคุณพวกผู้บริจาคเงินช่วยเหลือรายใหญ่ๆ แบบบรรดาคู่แข่งขันของเขา
จวบจนบัดนี้เขานำเอาเงินของเขาเองประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ออกมาใช้จ่ายในการหาเสียงชิงทำเนียบขาวของเขาคราวนี้ ทว่าก็มีการเรียกเก็บเงินเหล่านี้กลับไปบ้างเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น การตั้งสำนักงานเกี่ยวกับการหาเสียงของเขาเอาไว้ที่อาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ และเรียกเก็บเงินค่าเช่าจากทีมทำงานรณรงค์หาเสียงของเขา
ในอีกด้านหนึ่งฟอร์บส์ประมาณการว่า คำพูดคำจาอันก่อให้เกิดการโต้เถียงรุนแรงของเขาเกี่ยวกับผู้อพยพชาวเม็กซิกันระหว่างการเปิดตัวการรณรงค์หาเสียงของเขานั้น ทำให้เขาเสียรายได้ไปอีกประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ในรูปของการที่พวกบริษัทห้างร้านหลายแห่งยกเลิกข้อตกลงที่ทำเอาไว้ เป็นต้นว่า เอ็นบีซี ยูนิวอร์แซล, ยูนิวิชัน, และห้างเมซีส์
จริงๆ แล้วเขาร่ำรวยขนาดไหน
เรื่องนี้ยังคงถือเป็นปริศนาอันใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ เมื่อตอนที่ทรัมป์แจ้งตัวเลขเกี่ยวกับฐานะการเงินของเขาเอาไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งสหรัฐฯ (Federal Election Commission) ในปีนี้นั้นทีมงานหาเสียงของเขาระบุว่า เขามีทรัพย์สมบัติ “ในระดับเกินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์”
ทว่าฟอร์บส์ระบุล่าสุดว่าเขามีความร่ำรวยระดับ 3,700 ล้านดอลลาร์ ทางด้านบลูมเบิร์กประมาณการว่าเขามีทรัพย์สินระดับ 3,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนฟอร์จูนบอกว่า 3,900 ล้านดอลลาร์
เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันเช่นนี้ขึ้นมาก็คือ ทรัมป์ถือว่าแบรนด์ของเขาเป็นสิ่งที่มีมูลค่า และนับมูลค่านี้เอาไว้ในทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ด้วย ทั้งนี้ จากการประมาณการของเขาเองแบรนด์ของเขามีมูลค่าราว 3,300 ล้านดอลลาร์ทีเดียว
พวกนักวิพากษ์วิจารณ์ยังกล่าวหาทรัมป์ว่าชอบแถลงตัวเลขรายรับของเขาให้สูงเกินความเป็นจริงอยู่เป็นประจำ ด้วยการนำเอารายรับและรายได้ทางธุรกิจมาผสมปนเปกันวุ่นวาย
ถ้าเขาเผยมูลค่าภาษีเงินได้ที่เขาได้คืนมา ตัวเลขนี้จะแสดงให้เห็นความร่ำรวยที่แท้จริงของเขาหรือไม่?
การที่ทรัมป์ปฏิเสธไม่ยอมเปิดเผยมูลค่าภาษีเงินได้ที่เขาได้รับลดหย่อนได้รับกลับคืนมา กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงแพร่กระจายข่าวลือที่ว่าฐานะการเงินของเขาอาจจะไม่ได้ใหญ่โตมหึมาอย่างที่เขาอวดอ้าง หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ชำระภาษีอย่างถูกต้องตามอัตราส่วนซึ่งเขาสมควรจ่าย
ฮิลลารี คลินตัน กล่าวย้ำประเด็นนี้ในระหว่างการดีเบตเมื่อวันจันทร์ (26 ก.ย.) ว่า มูลค่าภาษีที่เขาได้คืนมาอาจเปิดเผย “อะไรบางอย่างซึ่งสำคัญจริงๆ กระทั่งถึงขั้นถือว่าเลวร้าย จึงทำให้เขายังคงพยายามแอบซ่อนไม่ยอมเปิดเผย”
ทว่าหากเขาเกิดเปิดเผยมูลค่าภาษีที่เขาได้คืนมาในวันพรุ่งนี้ มันก็ยังไม่น่าที่จะให้ภาพให้ความรู้สึกอันแท้จริงเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติจริงๆ ของเขาอยู่นั่นเอง
เนื่องจากแบบฟอร์มการคืนภาษีระบุเรื่องรายได้และภาษีที่จ่ายสำหรับรายได้ดังกล่าว ทว่าไม่ได้ให้ภาพเต็มเกี่ยวกับมูลค่าของทรัพย์สินของเขา หรือมูลค่าของหนี้สินของเขา
(เรียบเรียงจาก บีบีซีนิวส์และสำนักข่าวอื่นๆ)