เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – โดนัลด์ ทรัมป์ ตกเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกอีกครั้งเมื่อพบว่า เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์แอบนำเงินบริจาคจากมูลนิธิ “โดนัลด์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชัน” ของตระกูลใช้ในการหาข้อตกลงยุติคดีความฟ้องร้องทางธุรกิจของตนเองมูลค่าร่วม 258,000 ดอลลาร์ ส่อละเมิดกฎหมายกำกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรรัฐนิวยอร์ก และยังแสดงถึงความไม่โปร่งใสทางด้านตัวเลขการเงินของตัวแทนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันที่มาจนถึงทุกวันนี้ยังไม่ยอมแสดงรายงานการเสียภาษี
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานเมื่อวานนี้(20 ก.ย)ว่า จากรายงานเปิดเผยล่าสุดชี้ว่า ตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯพรรครีพับลิกัน โดนัลด ทรัมป์ นำเงินไม่ต่ำกว่า 258,000 ดอลลาร์ ออกมาจากมูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไรของตระกูล “โดนัลด์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชัน” เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัวด้านคดีความทางธุรกิจ
โดยจากเอกสารจำนวน 4 ฉบับล่าสุดชี้ว่า ทรัมป์อาจละเมิดกฎหมายกำกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรรัฐนิวยอร์ก ที่ห้ามไม่ให้ผู้นำองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรนำเงินบริจาคของหน่วยงานเพื่อประโยชน์ตนเองและธุรกิจส่วนตัว
และหนึ่งในคดีทั้งหมดหมด เกิดขึ้นในปี 2007 พบว่าธุรกิจ มาร์ อา เลโก คลับ(Mar-a-Lago Club)ของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกัน ถูกสั่งจ่ายค่าปรับจำนวน 120,000 ดอลลาร์ หรือราว 1,250 ดอลลาร์ต่อวัน จากเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดาในคดีฟ้องร้องความสูงของเสาธงที่ทางเมืองสั่งให้มีความสูงไม่เกิน 42 ฟุต แต่ทรัมป์ละเมิดสั่งตั้งเสาธงสูง 80 ฟุตที่คลับแห่งนี้
ในการยอมความทางกฎหมาย ทางเมืองปาล์มบีชตกลงยอมที่จะไม่เรียกเก็บค่าปรับจากมาร์ อา เลโก คลับ ในเงื่อนไขที่ระบุว่าธุรกิจแห่งนี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ต้องเขียนเช็กเงินบริจาคด้วยตัวเลข 100,000 ดอลลาร์ ห้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแห่งหนึ่งที่ช่วยเหลือทหารผ่านศึกสหรัฐฯแทน และจากข้อมูลทางภาษีสหรัฐฯพบว่า เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ได้ส่งเช็กภายใต้ชื่อของมูลนิธิ โดนัลด์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชัน เพื่อทำการบริจาคแทน โดยวอชิงตันโพสต์ชี้ว่า เงินเกือบทั้งหมดของมูลนิธิภายใต้ชื่อทรัมป์แห่งนี้ เป็นเงินบริจาคจากบุคคลภายนอกทั้งสิ้น
และในอีกกรณีเกิดขึ้นกับสนามกอล์ฟของโดนัลด์ ทรัมป์ในนิวยอร์ก ที่มีปัญหาด้านคดีความแต่สามารถตกลงยอมความทางคดีสำเร็จด้วยการขอให้ทรัมป์ทำการบริจาคให้กับมูลนิธิการกุศลตามที่โจทย์ได้กำหนด ซึ่งจากหลักฐานทางภาษีพบว่า มูลนิธิโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชัน ได้ส่งเช็กจำนวน 158,000 ดอลลาร์เพื่อบริจาคเช่นเดิม
วอชิงตันโพสต์รายงานต่อว่า การใช้บริการโยกเงินบริจาคของคนอื่นเพื่อประโยชน์ทางคดีความทางธุรกิจของตัวเอง ยังไม่จำกัดเฉพาะแต่การประนอมหนี้มูลค่าสูงเท่านั้น เพราะสื่อสหรัฐฯรายงานว่า ในปี 2013 พบว่า ตัวแทนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันรายนี้ส่งเช็กจำนวนเงินเพียงแค่ 5,000 ดอลลาร์จากมูลนิธิโดนัดล์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชันเพื่อซื้อโฆษณาสำหรับโรงแรมในเครือของเขาในงาน 3 แห่งที่ถูกจัดโดยกลุ่มอนุรักษ์ดีซี และในปี 2014 พบว่าทรัมป์ได้ใช้เงินจากมูลนิธิการกุศลแห่งนี้จำนวน 10,000 ดอลลาร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองในงานระดมทุนแห่งหนึ่ง
และในไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ สื่อสหรัฐฯชี้ ทรัมป์ซื้อภาพของตัวเองขนาดความสูง 6 ฟุตด้วยเงินมูลนิธิ
ซึ่งทำให้ทางวอชิงตันโพสต์สรุปว่า หากสำนักงานสรรพากรสหรัฐฯ IRS สืบทราบ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อาจตกที่นั่งลำบาก ถูกสั่งปรับเป็นเงินภาษี หรืออาจถูกสั่งให้จ่ายเงินคืนเต็มจำนวนให้แก่มูลนิธิการกุศลของตัวเองที่เขาได้แอบโยกเงินเพื่อกิจการส่วนตัว และในขณะนี้ทรัมป์ยังถูกสอบสวนจากสำนักงานอัยการรัฐนิวยอร์กว่าเขาได้ละเมิดกฎหมายกำกับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรของรัฐหรือไม่
และทำให้วอชิงตันโพสต์ยังกล่าวเลยต่อไปว่า เมื่อดูจากกรณีตัวอย่างเหล่านี้ อาจจะกล่าวในภาพรวมได้ว่า กรณีศึกษาที่ถูกพบเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานชิ้นใหม่ ที่พิสูจน์ได้ว่าทรัมป์ได้ดำเนินการบริหารมูลนิธิการกุศลของตัวเองในทางที่อาจจะละเมิดต่อกฎหมายภาษีสหรัฐฯ และขัดต่อหลักการทำการกุศลสาธารณะที่เคยมีมา
ในขณะเดียวกัน แคมเปญหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ในคืนวันอังคาร(20 ก.ย)ปฎิเสธข้อกล่าวหารายงานชื้นนี้ โดยกล่าวว่า “รายงานที่ออกมานั้นตีไข่ใส่สีด้วยความบิดเบือนและการปกปิด”
หนังสือพิม์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า อ้างอิงจากข้อมูลทางภาษีพบว่า ทรัมป์ก่อตั้งมูลนิธิโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ฟาวเดชันในปี 1987 ซึ่งพบว่า ทรัมป์บริจาคเงินให้กับมูลนิธิที่ตัวเขาก่อตั้งน้อยมากในช่วงปี 2007-2008 และจากรายงานทางภาษีไม่ปรากฎว่าทรัมป์เป็นผู้บริจาคเงินเข้าสู่มูลนิธิแห่งนี้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2009 แต่กลับพบว่าเงินบริจาคเข้ามูลนิธิแห่งนี้มาจากเงินในกระเป๋าของผู้มีจิตศรัทธารายอื่นแทน เป็น ต้นว่า วินซ์ ( Vince ) และลินดา แมคมาฮอน( Linda McMahon) ผู้จัดการมวยปล้ำสหรัฐฯที่มีชื่อเสียง ที่ได้บริจาคจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2007 – 2009
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้อ้างกับ IRS ว่าเขายังคงดำรงตำแหน่งในฐานะประธานบริหารมูลนิธิ และได้ใช้เวลา 30 นาทีต่อสัปดาห์ในการทำงานให้กับมูลนิธิแห่งนี้