เอเจนซีส์ - ส.ส.อังกฤษเชื้อสายอินเดียเรียกร้องให้สายการบินแอร์ไชน่า (Air China) ออกมาขออภัยกรณีนิตยสารบนเครื่องบินให้ข้อมูลท่องเที่ยวที่มีเนื้อหาดูหมิ่นเชื้อชาติ
นิตยสาร “วิงส์ ออฟ ไชน่า” ฉบับดังกล่าวได้แนะนำเรื่องความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังกรุงลอนดอน โดยพาดพิงถึงชุมชนคนอินเดีย และคนผิวสี
“โดยทั่วไปแล้วกรุงลอนดอนเป็นเมืองที่สามารถท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อเข้าไปในพื้นที่ซึ่งมีคนเชื้อสายอินเดีย ปากีสถาน หรือคนผิวสีอยู่มาก” ข้อความในนิตยสารซึ่งสำนักข่าว CNBC ได้ถ่ายภาพมาเป็นหลักฐานยืนยัน ระบุ
“เราไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวออกไปไหนมาไหนคนเดียวในเวลาค่ำคืน ส่วนผู้หญิงก็ควรมีเพื่อนเดินทางไปด้วยเสมอ”
วิเรนดรา ชาร์มา ส.ส.ลอนดอนซึ่งอพยพจากอินเดียมายังสหราชอาณาจักรในทศวรรษ 1960 ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐบาลจีนให้จัดการเรื่องนี้
“ผมรู้สึกตะลึงและตกใจว่าทุกวันนี้ยังมีคนบางกลุ่มที่รับได้กับการใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเชื้อชาติอย่างโจ่งแจ้ง และไม่เป็นความจริงเช่นนี้ด้วย” ชาร์มาแถลงผ่านเว็บไซต์
“ผมได้ร้องเรียนผ่านไปทางเอกอัครราชทูตจีนแล้ว และขอให้ท่านช่วยดำเนินการให้สายการบินแอร์ไชน่าออกมาขออภัยโดยเร็วที่สุด และให้หยุดตีพิมพ์นิตยสารฉบับนี้ทันที”
ล่าสุด ซู่ หยวนชุน (Xu Yuanchun) ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของแอร์ไชน่า ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเอเอฟพีว่า สายการบินกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ พร้อมอ้างว่า “แอร์ไชน่ามีนิตยสารเป็นสิบๆ เล่ม จึงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมด”
ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จีนส่วนใหญ่ก็แสดงความประหลาดใจที่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา
ผู้ใช้บริการไมโครบล็อกกิ้งเวยปั๋วคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “มันก็ความจริงน่ะ จะให้ขอโทษเรื่องอะไร”
นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษ เพิ่งจะกลับถึงกรุงลอนดอน หลังจากเดินทางไปร่วมการประชุมกลุ่ม G20 ที่นครหางโจว พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีเหตุผลที่ตัดสินใจชะลอโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฮิงค์ลีย์ พอยนต์ ซึ่งมีจีนเป็นผู้ร่วมลงทุนรายใหญ่
รัฐวิสาหกิจพลังงานของจีนมีส่วนร่วมลงทุนราว 1 ใน 3 ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ฮิงค์ลีย์ พอยนต์ ที่มณฑลซัมเมอร์เซ็ต ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ของอังกฤษในรอบหลายสิบปี โดยรับสัมปทานร่วมกับบริษัทพลังงานอีดีเอฟของฝรั่งเศส
เมย์ สร้างความตกตะลึงด้วยการประกาศชะลอโครงการนี้ในเดือน ก.ค. หลังจากที่ อีดีเอฟ ได้ให้ไฟเขียวแล้ว โดยเธอบอกว่าจะตัดสินใจอีกครั้งในเดือนนี้
เอกอัครราชทูตจีน หลิว เสี่ยวหมิง ได้เอ่ยเตือนเมื่อเดือน ส.ค. ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติกำลังเดินมาถึงช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์” ที่สำคัญยิ่ง