xs
xsm
sm
md
lg

ตูมสนั่นภาคเหนือแคเมอรูน ดับ 3 ศพ เจ็บอื้อ คาดฝีมือกลุ่ม “โบโก ฮารัม” จากไนจีเรีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพจากเอเอฟพี
เอเจนซีส์ / MGR online - มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และอีกไม่ต่ำกว่า 24 รายได้รับบาดเจ็บจากเหตุโจมตีด้วยระเบิดในพื้นที่ภาคเหนือของแคเมอรูน คาดเป็นฝีมือสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “โบโก ฮารัม” ที่มีฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไนจีเรีย

รายงานข่าวระบุว่า เหตุโจมตีล่าสุดเกิดขึ้นภายในเมืองโมรา ในเขตฟาร์นอร์ท ทางภาคเหนือของแคเมอรูนซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไนจีเรีย โดยเหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของวันอาทิตย์ (21 ส.ค.) ในครั้งนี้มีผู้ลงมือก่อเหตุเป็นชายหนุ่มรายหนึ่งซึ่งใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ และทำการจุดชนวนระเบิดที่ผูกติดไว้กับตัว บริเวณกลางสะพานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับตลาดที่มีผู้คนออกมาซื้อหาสินค้ากันอย่างพลุกพล่านหนาแน่น

แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และอีกไม่ต่ำกว่า 24 รายได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ มิดจิยาวา บาการี ผู้ว่าราชการของเขตฟาร์นอร์ทออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดนั้น มีอยู่ 5 รายที่มีอาการสาหัส

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มก้อนใดออกมาอ้างตัวว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมากลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ โบโก ฮารัม ที่มีฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไนจีเรีย เคยข้ามแดนมาก่อเหตุโจมตีในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้ในแคเมอรูนหลายครั้ง ซึ่งนับรวมถึงเหตุระเบิดที่คร่า 11 ชีวิต ณ ที่ตั้งของมัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองชากานา ของเขตฟาร์นอร์ทนี้เช่นกัน ถึงแม้ทางการแคเมอรูนจะส่งกำลังทหารที่มีจำนวนมากกว่า 8,000 นายเข้ามาประจำการในพื้นที่นี้เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ โบโก ฮารัม ซึ่งประกาศสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในซีเรียและอิรัก ได้เริ่มก่อเหตุโจมตีในพื้นที่ภาคเหนือของไนจีเรียมาตั้งแต่เมื่อปี 2009 หวังโค่นอำนาจการปกครองของรัฐบาลกลางไนจีเรียและสถาปนาการปกครองแบบรัฐอิสลามสุดโต่งขึ้นแทนที่ ก่อนจะเริ่มขยายพื้นที่การโจมตีออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคเมอรูน ชาด และไนเจอร์ ในระยะหลัง

ด้านองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) คาดการณ์ว่า ความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยกลุ่มติดอาวุธโบโก ฮารัมนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 20,000 ราย และส่งผลให้ประชาชนอีกมากกว่า 2.8 ล้านคนต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตน


กำลังโหลดความคิดเห็น