บีบีซีนิวส์/เอเอฟพี - ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบกรณีเครื่องบินตกระดับโลกเชื่อว่าเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สที่หายสาบสูญไปอย่างลึกลับนั้นได้ถูกบังคับพุ่งลงทะเลโดยเจตนา หากพิจารณาจากชิ้นส่วนปีกที่พบและยืนยันแล้ว ทั้งนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตำแหน่งแห่งที่สุดท้ายของเครื่องบินลำดังกล่าวน่าจะอยู่นอกพื้นที่ซึ่งทีมตรวจสอบนานาชาติลุยค้นหามากว่า 2 ปี
แลร์รี แวนซ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 มินิตส์ของออสเตรเลียว่า รอยกัดกร่อนที่ขอบด้านหลังของชิ้นส่วนปีกที่พบและยืนยันแล้วบ่งชี้ว่าเครื่องบินถูกบังคับให้ร่อนลงทะเล
ทั้งนี้ เครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ที่มุ่งหน้าจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่งพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน หายสาบสูญอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014
ทีมสอบสวนอย่างเป็นทางการระบุว่า กำลังตรวจสอบว่าเครื่องบินมีนักบินควบคุมอยู่หรือไม่ในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนตก
เท่าที่ผ่านมาทีมค้นหานานาชาติที่นำโดยออสเตรเลียพุ่งเป้าค้นหาใต้มหาสมุทรอินเดีย บริเวณซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย 2,000 กิโลเมตร โดยอิงกับทฤษฎีที่ว่า เครื่องบินถูกควบคุมโดยระบบอัตโนมัติหลังออกนอกเส้นทางและเชื้อเพลิงหมด
ทว่า เจ้าหน้าที่ประสานงานการค้นหาผู้หนึ่งบอกกับ 60 มินิตส์ว่า หากมีคนควบคุมเครื่องบินตอนที่เครื่องตกแล้ว ซากเครื่องบินก็อาจอยู่นอกพื้นที่ค้นหา
แวนซ์นั้นเคยเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการสอบสวนของคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการบินของแคนาดาและคณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งของแคนาดา อีกทั้งเคยเป็นหัวหน้าคณะสอบสวนกรณีเครื่องบินตกมากกว่า 200 กรณี นอกจากนั้นยังเป็นหัวหน้าทีมจัดทำรายงานการสอบสวนกรณีเที่ยวบิน 111 ของสวิสแอร์ ตกนอกชายฝั่งโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดาในปี 1998 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 229 ราย และแรงกระแทกจากการตกทำให้เครื่องบินแตกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ กว่า 2 ล้านชิ้น
แวนซ์บอกกับ 60 มินิตส์ว่า การที่ไม่มีชิ้นส่วนแตกละเอียดแบบนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ว่า MH370 ตกในสถานการณ์ที่มีคนควบคุมเครื่องบินอยู่ และคนคนนั้นบังคับเครื่องพุ่งลงทะเล
ถึงแม้มีความพยายามในการค้นหาใต้ท้องมหาสมุทรเป็นบริเวณกว้างขวาง แต่ไม่พบซากหรือร่องรอยของเครื่องบินลำนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งชิ้นส่วนปีกที่เรียกว่า แฟลปเพอรอน ลอยไปเกยตื้นที่เกาะเรอูนิยอง นอกชายฝั่งมาดากัสการ์เมื่อปีที่แล้ว
แวนซ์ระบุว่า ภาพถ่ายแฟลปเพอรอนที่พบแสดงให้เห็นส่วนขอบที่ขรุขระ ซึ่งบ่งชี้การกัดกร่อนจากน้ำที่มีความดันสูง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเครื่องถูกบังคับให้พุ่งลงทะเล
แวนซ์แจงว่า แรงจากการกระแทกกับน้ำเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ขอบชิ้นส่วนขรุขระตามที่เห็น และว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าแฟลปเพอรอนถูกใช้งานในการร่อนลงโดยดูจากลักษณะที่แฟลปเพอรอนกางออกเพื่อร่อนลงนั้นยังบ่งชี้ว่ามีคนควบคุมเครื่องบินขณะพุ่งลงมหาสมุทร
ทฤษฎีของแวนซ์เป็นทฤษฎีล่าสุดที่พยายามอธิบายที่มาที่ไปของ MH370 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปริศนาดำมืดที่สุดในวงการการบินโลกขณะนี้
การค้นหาซาก MH370 ที่กระทำอยู่ในขณะนี้ครอบคลุมบริเวณ 120,000 ตารางกิโลเมตรใต้มหาสมุทร โดยใช้โดรนใต้น้ำและอุปกรณ์โซนาร์ที่ติดตั้งบนเรือพิเศษ และคาดว่าการค้นหานี้จะสิ้นสุดภายในปลายปีหากไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
ทางด้าน ปีเตอร์ โฟลีย์ ผู้อำนวยการโครงการค้นหาของสำนักงานความปลอดภัยในการขนส่งของออสเตรเลีย (ATSB) กล่าวในรายการ 60 มินิตส์เช่นกันว่า รูปแบบความเสียหายของแฟลปเพอรอนเป็นหลักฐานยืนยันทฤษฎีที่ว่า เครื่องบินถูกควบคุมให้ร่อนลง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า MH370 จมอยู่นอกพื้นที่ค้นหา
เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ทีมนักวิจัยอิตาลีระบุว่า จากการใช้คอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์ คำนวณได้ว่าซาก MH370 อาจจมอยู่เลยพื้นที่ค้นหาขึ้นไปทางเหนืออีก 500 กิโลเมตร