เอเจนซีส์ / MGR online - ทางการอินเดียเผย ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากเหตุการณ์ไม่สงบในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ของตนเพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 16 ศพ หลังเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับตำรวจปราบจลาจล
การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับตำรวจปราบจลาจลอินเดียมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกจากเคหสถานที่ทางการอินเดียนำมาบังคับใช้ในพื้นที่ตอนใต้ของเขตปุลวามา เพื่อหวังสกัดการเคลื่อนไหวของฝูงชนที่โกรธแค้นต่อการเสียชีวิตของ “บูร์ฮาน วานี” ผู้นำกลุ่มฮิซบุล มูจาฮิดีน ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลอินเดีย และถูกสังหารเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างการดวลปืนกับกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล
การเสียชีวิตในวันศุกร์ (8) ของวานี ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในการปลุกระดมคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินเดีย คือต้นตอสำคัญที่นำไปสู่การประท้วงและเหตุรุนแรงตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 16 ราย รวมถึงตำรวจปราบจลาจล 1 นายที่เสียชีวิตในเขตอนันตนาค ภายหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงช่วยกันผลักรถหุ้มเกราะของเขาตกลงไปในแม่น้ำสายหนึ่ง
ทางการอินเดียออกมายืนยันในเวลาต่อมาว่า นอกเหนือจากการใช้แก๊สน้ำตาและยุทโธปกรณ์เพื่อการควบคุมฝูงชนตามปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลในจัมมูและแคชเมียร์ยังมีการใช้ “กระสุนจริง” ในระหว่างภารกิจการบุกเข้าสลายการประท้วงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตในพื้นที่
นอกเหนือจากผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนอย่างน้อย 16 รายแล้ว เหตุการณ์ไม่สงบล่าสุดในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ในครั้งนี้ยังส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 200 ราย รวมถึงตำรวจปราบจลาจลอินเดียจำนวน 90 นาย
ทั้งนี้ แคชเมียร์กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเผชิญหน้า และการปะทะกันหลายครั้งหลายหนระหว่างอินเดียกับปากีสถานตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันในปี 2003
โดยชาติเพื่อนบ้านทั้งสองซึ่งต่างมี “อาวุธนิวเคลียร์” ไว้ในครอบครอง ต่างอ้างกรรมสิทธิ์และอธิปไตยของตนเหนือดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยอันสวยงามแห่งนี้ โดยที่อินเดียเป็นฝ่ายยึดครองดินแดน 2 ใน 3 ส่วนของแคชเมียร์ ขณะที่ปากีสถานได้ครอบครองแคชเมียร์ในอีก 1 ส่วนที่เหลือ ท่ามกลางรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนหลายพันรายที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ตลอด 20 ปีหลังสุด