เอเจนซีส์ - โรดริโก ดูเตอร์เต ว่าที่ประมุขของฟิลิปปินส์ กล่าวยกย่องผู้นำจีน สี จิ้นผิง เป็น “ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่” ตอกย้ำสัญญาณว่าสองชาติเพื่อนบ้านเอเชียอาจฟื้นสัมพันธ์กันได้ ขณะเดียวกัน วอชิงตันมีหวังสั่นสะท้านเมื่อนายกเทศมนตรีสายโหดจากเมืองดาเวาผู้นี้ประกาศเลิกพึ่งพิงมหามิตรอเมริกาเมื่อเขาก้าวขึ้นครองอำนาจในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ดูเตอร์เตก็ให้สัมภาษณ์แบบไม่มีหูรุด เห็นดีเห็นงามกับการเข่นฆ่านักข่าว “ที่ทุจริตคอร์รัปชัน” ทำเอาสมาคมสื่อต้องออกคำแถลงประณาม
ดูเตอร์เตที่ถูกวิจารณ์ว่าขาดประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ ได้กล่าวยกย่องผู้นำจีนระหว่างการแถลงข่าวเปิดตัวคณะรัฐมนตรีของเขาเมื่อคืนวันอังคาร (31 พ.ค.) หลังได้รับการซักถามจากผู้สื่อข่าวเรื่องที่สีส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อชัยชนะในการเลือกตั้งของเขาเมื่อต้นเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนรายงานก่อนหน้านี้ว่า นอกจากส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อชัยชนะของดูเตอร์เตแล้ว สียังแสดงความหวังว่าสองประเทศจะปรับความเข้าใจและมีความสัมพันธ์อันดีกันอีกครั้ง
ปักกิ่ง-มะนิลาปีนเกลียวกันหนักระหว่างช่วงเวลา 6 ปีในการบริหารประเทศของประธานาธิบดี เบนีโญ อากีโน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่ง โดยรัฐบาลอากีโนยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ กรณีที่จีนอ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ซึ่งคาดว่าคำวินิจฉัยจะออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ และการดำเนินการต่อไปจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของดูเตอร์เตที่จะเข้ารับตำแหน่งวันที่ 30 เดือนนี้
ท่าทีของดูเตอร์เตยังค่อนข้างสับสน โดยขณะที่เขาบอกยินดีเจรจากับจีนในประเด็นดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันก็เกาะติดกระแสชาตินิยมด้วยการประกาศว่าจะขี่เจ็ตสกีไปปักธงฟิลิปปินส์บนเกาะที่เป็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
นอกจากนั้น นายกเทศมนตรีฝีปากกล้าจากเมืองดาเวาผู้นี้ยังเรียกร้องให้จีนเคารพเขตเศรษฐกิจพิเศษ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งของแต่ละชาติภายใต้กฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวคืนวันอังคาร (31) ดูเตอร์เตยังย้ำว่าจะเลิกพึ่งพาอเมริกา อดีตเจ้าอาณานิคมและพันธมิตรทางทหารสำคัญที่สุดของแดนตากาล็อก และไม่สนใจเอาอกเอาใจชาติใด นอกจากผลประโยชน์ของชาวฟิลิปปินส์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ แดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้แถลงตอบว่า อเมริกาไม่มีปัญหาหากประเทศผู้อ้างสิทธิในทะเลจีนใต้จะหารือกันแบบทวิภาคี แต่เขาชี้ว่ามีกรณีพิพาทหลายกรณีที่ผู้เกี่ยวข้องมีมากกว่า 2 ราย
ในอีกด้านหนึ่ง ระหว่างการแถลงข่าวคราวนี้ดูเตอร์เตได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่บรรดาสื่อมวลชน ทั้งนี้ เริ่มจากการที่ผู้สื่อข่าวถามดูเตอร์เตว่าจะจัดการอย่างไรกับปัญหาการสังหารพวกนักหนังสือพิมพ์ โดยกรณีล่าสุดเกิดขึ้นในกรุงมะนิลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วว่าที่ประธานาธิบดีตอบว่า นักข่าวไม่ได้รับการยกเว้นจากการลอบสังหารหากมีพฤติกรรมคอร์รัปชัน
สหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติของฟิลิปปินส์ (NUJP) ชี้ว่า การแสดงความคิดเห็นของดูเตอร์เต “น่าตกใจ” และว่า แม้อุตสาหกรรมสื่อมีปัญหาการทุจริต แต่ไม่ได้หมายความว่านักข่าวสมควรถูกเข่นฆ่า คำแถลงของ NUJP ยังระบุว่า ดูเตอร์เตกำลังประกาศเริ่มต้นฤดูกาลปิดปากสื่อ ทั้งนักข่าวรายบุคคลและสถาบันสื่อ โดยเอาเรื่องคอร์รัปชันมาบังหน้า
เท่าที่ผ่านมาฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศอันตรายที่สุดในโลกสำหรับนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ โดยนับจากเหตุจลาจลและการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยเข้าแทนที่ระบอบเผด็จการของเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้วจนมาถึงบัดนี้มีนักข่าวถูกสังหารถึง 176 ราย
กระนั้น ดูเตอร์เตชี้ว่าเหยื่อเหล่านั้นส่วนใหญ่สมควรเผชิญชะตากรรมดังกล่าว “คุณคงไม่ถูกฆ่า ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด” เขาบอก
ลุยส์ ทีโอโดโร รองผู้อำนวยการศูนย์เพื่อเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมวลชน วิจารณ์การแสดงความเห็นของดูเตอร์เตว่า “น่าเป็นห่วง” เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการฆ่าคนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในบางสถานการณ์
คณะกรรมการเพื่อการปกป้องผู้สื่อข่าว ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในนิวยอร์ก ออกมาประณามดูเตอร์เตว่า ให้สิทธิเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงในการฆ่าคนที่เห็นว่าใส่ร้ายหรือหมิ่นประมาทโดยปราศจากการไต่สวน และถือเป็นความคิดเห็นที่อุกอาจโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากปากประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
นอกจากนั้น ระหว่างหาเสียงดูเตอร์เตยังให้สัญญาว่าจะกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศภายใน 6 เดือนแรกนับจากเข้ารับตำแหน่ง ด้วยการสังหารอาชญากรนับหมื่นคน และให้อำนาจกองกำลังความมั่นคงในการทำวิสามัญฆาตกรรมเหล่าร้าย
ล่าสุดเมื่อคืนวันอังคารเขาประกาศว่าจะให้รางวัลกองกำลังความมั่นคงหลักแสนดอลลาร์ถ้าฆ่าผู้ลักลอบค้ายาเสพติดได้