เอเจนซีส์/MGR online - ทางการเคนยา ในวันเสาร์ (30 เม.ย.) เผาทำลาย “งาช้างของกลาง” จำนวน 11 กองใหญ่ ที่มีน้ำหนักรวมกันสูงถึง “105 ตัน” ภายในเขตอุทยานแห่งชาติไนโรบี ที่ยึดได้จากนายพราน และขบวนการลักลอบล่าสัตว์ที่คดีความถึงที่สุดแล้ว
รายงานข่าวระบุว่า การเผาทำลายงาช้างซึ่งต้องใช้น้ำมันดีเซลผสมสารเคโรซีนจำนวนมากกว่า 10,000 ลิตรในครั้งนี้ ถือเป็นการเผาทำลายงาช้างที่มีสัดส่วนคิดเป็นราว 5 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณงาช้างที่มีอยู่ทั่วโลกในเวลานี้ และคาดว่างาช้างล็อตนี้จะมีมูลค่ามหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ หากหลุดเข้าสู่ “ตลาดมืด”
การเผาทำลายครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติที่ทางการเคนยากระทำมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เป็นต้นมา หลังจากที่ในปีดังกล่าว อดีตประธานาธิบดีดาเนียล อาราป มอย ได้เป็นผู้ลงมือจุดไฟเผาทำลายงาช้างของกลางถึง 13 ตันด้วยตัวเอง ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นการเผาทำลายงาช้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า การเผาทำลายงาช้าง จำนวน 105 ตัน ของทางการเคนยาล่าสุด ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากรัฐบาลของชาติร่วมทวีปแอฟริกาอย่าง “บอตสวานา”
โดยรายงานข่าวซึ่งอ้าง ทีเชเคดี คามา รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของบอตสวานา ที่ระบุว่า รัฐบาลเคนยาน่าจะเก็บรักษา และอนุรักษ์งาช้างของกลางเหล่านี้เอาไว้แทนการเผาทำลาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ผู้คนได้ตระหนักถึงความเลวร้ายของขบวนการลักลอบล่าสัตว์ป่า
ทั้งนี้ รัฐบาลเคนยา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอูฮูรู เคนยัตตา มีนโยบายต่อต้านการค้างาช้างอย่างจริงจัง และได้ประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ด้านการอนุรักษ์ของรัฐบาลเคนยา โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหน้าที่ในระดับล่างกลับถูกกล่าวหาว่า รู้เห็นเป็นใจ และรับสินบนจากขบวนการลักลอบล่าสัตว์ หรือมีส่วนพัวพันต่อการลงมือกระทำผิดด้วยตัวเอง เพราะแรงจูงใจด้านราคา เป็นเหตุให้การปราบปรามการค้างาช้างในตลาดมืดของเคนยายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
