เอเจนซีส์ - ทั่วโลกต้องตื่นตะลึงกับภาพสุดปลื้มอีกครั้งของมาริลิน มอนโร เมื่อเจ้าหญิงแคทเธอรีนในชุดมินิเดรสสุดคลาสสิกสีงาช้างผลงานของดีไซเนอร์ชื่อดัง เอมิเลีย วิคสเตด (Emilia Wickstead) ต้องจำยอมรับบทบาทเมื่อฉลองพระองค์ต้องลมพัดแรงจัดจนทำให้ต้องใช้พระหัตถ์พยายามดึงไว้เพื่อไม่ให้มินิเดรสต้องปลิวไสวไปในระหว่างพระองค์และพระสวามี เจ้าชายวิลเลียม ทรงวางดอกไม้ที่อนุสรณ์สงครามอินเดีย กลางกรุงนิวเดลี อินเดีย เมื่อวานนี้ (11 เม.ย.) ในารเสด็จเยือนอินเดียและภูฏานอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 1 สัปดาห์
เดลีเมล์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (11 เม.ย.) ว่า เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงปฎิบัติภารกิจในการเสด็จเยือนอินเดียและภูฏานในวันจันทร์(11 เม.ย.)ด้วยการเยือนอนุสรณ์สงครามอินเดีย ในกรุงนิวเดลี ซึ่งสื่ออังกฤษรายงานว่าอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นที่ฝังร่างทหารกล้าอินเดียไร้ชื่อซึ่งเสียชีวิตในสมรภูมิรบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทั่งโลกกล่าวขวัญในการเสด็จครั้งนี้กลับเป็นภาพที่เจ้าหญิงเคททรงกำลังวางดอกไม้สักการะอนุสาวรีย์วีรชนนิรนามอินเดียอยู่นั้น ลมได้พัดกระโชกฉลองพระองค์มินิเดรสสีงาช้างของดีไซเนอร์ชื่อดัง เอมิเลีย วิคสเตด (Emilia Wickstead) สนนราคา 1,700 ปอนด์ตามการรายงานของสื่ออังกฤษ ซึ่งพบว่าดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ทรงต้องใช้ความพยายามเพื่อไม่ให้มินิเดรสที่พระองค์สวมอยู่นั้นต้องถูกลมพัด คล้ายราวกับภาพของดาราสาวไอคอนแห่งยุค มาริลิน มอนโร และชุดกระโปรงขาวยามต้องถูกลมพัดปลิวไสว
เดลีเมล์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้เจ้าชายวิลเลี่ยมได้ร่วมลงพระนามในฐานะผู้เข้าชมอีกด้วย
สื่ออังกฤษรายงานว่า รีดส์ดอกไม้ที่เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคททรงวางสักการะเป็นดอกดาวเรืองสีเหลืองสด และมีพระนามของสองพระองค์บนกระดาษสีเหลืองอ่อนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ของเจ้าชายวิลเลียม โดยมีข้อความระบุว่า “ไม่เคยลืมวีรชนที่สละชีพเพื่ออินเดีย” และบนกระดาษแผ่นนี้ทั้งสองพระองค์ยังได้ทรงร่วมลงพระนามกำกับอีกด้วย
เดลีเมล์รายงานต่อว่า อนุสรณ์สงครามอินเดียสร้างมาจากหินทรายแดง โดยอนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกรู้จักในนาม “อินเดีย เกต” หรือประตูเมืองอินเดีย
เป็นสิ่งก่อสร้างมีลักษณะคล้ายคลึงกับ L’ Arc de Triomphe ของ ฝรั่งเศส มีความมุ่งหมายให้เป็นอนุสรณ์แก่ทหารที่พลีชีวิตในสงครามครั้งสำคัญๆ ของอินเดีย โดยได้จารึก รายชื่อของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ เช่น ทหารและข้าราชการอินเดียและอังกฤษ จำนวน 13,516 คน ที่ พลีชีวิตในสงครามชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และสงครามแองโกล-แอฟริกาครั้งที่ 3 และรวมทั้งทหารอินเดียจำนวน 60,000 นาย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนบนยอดของประตูอินเดีย
สร้างเป็นอนุสรณ์แก่ทหารนิรนาม วัสดุในการก่อสร้างเป็นหินทรายแดง เป็นแท่งทึบ มีความสูงจากระดับพื้นถนน 42.3 เมตร ส่วนโค้งของซุ้มประตู กว้าง 9.1 เมตร สูง 22.8 เมตร ตรงกลางระหว่างประตูมีกระถางหินทรายแดงขนาดใหญ่ จุดไฟลุกโชนไม่เคยดับมาตั้งแต่ปี 1932 และมีอักษรจารึกเป็นภาษาฮินดีว่า “อมร ชะวาน ชโยติ” (อมร – ผู้ไม่ตาย ชะวาน – ทหาร และ ชโยติ – ความรุ่งเรือง หรือความสว่าง) รายงานจากข้อมูลของสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลี
นอกจากนี้ สื่ออังกฤษรายงานว่า อินเดีย เกตแห่งนี้ในปัจจุบันถูกใช้เป็นอนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามแองโกล-แอฟริกาครั้งที่ 3 และสงครามอินโดปากีสถานปี 1971
ทั้งนี้ ในการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ สื่ออังกฤษชี้ว่า รัฐบาลอังกฤษได้ถวายให้เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคททรงเดินทางด้วยเครื่องบินพระที่นั่งแบบชาร์เตอร์ไฟลท์ในระหว่างประทับอยู่ในอินเดีย และจากอินเดียไปภูฏาน และทั้งสองพระองค์จะเสด็จกลับอังกฤษในวันอาทิตย์ (17 เม.ย.) ด้วยสายการบินบริติชแอร์เวย์สตามกำหนด
โดยเมื่อเสด็จมาถึง ทั้งเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคททรงได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียร์ติด้วยกองทหารเกียร์ติยศต่างๆ เป็นต้นว่า ทหารหน่วย Brigadier Mark Goldsach ทหารหน่วย FCO Defence Attaché และที่ปรึกษาด้านการทหารต่อข้าหลวงใหญ่อังกฤษ เป็นต้น
และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่อนุสรณ์สถานสงครามอินเดียแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้ทรงเสด็จพระดำเนินต่อไปยัง Old Birla House หรือบ้านเบอร์ลา ปัจจุบันชื่อ “คานธี สมิทธี ( Gandhi Smriti) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์มหาตมะ คานธี
ซึ่งจากข้อมูลของสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลีพบว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน Tees January Marg ใจกลางกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถาน ประกอบด้วยบ้านพักที่มหาตมะคานธี อาศัยอยู่ในช่วง 144 วันสุดท้ายของชีวิต ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 1947 จนกระทั่งถูกลอบสังหารในวันที่ 30 มกราคม 1948 นิทรรศการแสดงภาพชีวประวัติและเรื่องราวการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราช อนุสรณ์สถาน ณ บริเวณที่มหาตมะคานธีเสียชีวิต รูปปั้นมหาตมะคานธี เปลวเพลิงเป็นเครื่องรำลึกถึงมหาตมะคานธี กลองสันติภาพ ห้องจัดแสดงตุ๊กตาจำลองเรื่องราวชีวิตของมหาตมะ คานธี
โดยภายในบริเวณอาคารบ้านพักเป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของมหาตมะคานธี ภาพถ่าย เอกสารต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของมหาตมะคานธี และเอกสารอื่นๆ รวมถึงภาพยนต์สารคดีที่แสดงถึงชีวประวัติ แนวความคิด และการเคลื่อนไหวเพื่อการเรียกร้องเอกราชของมหาตมะคานธี โดยการใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ
และในการเสด็จเยือนครั้งนี้ ทั้งเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคททรงปฏิบัติพระองค์คล้ายกับนักท่องเที่ยวสามัญทั่วไปด้วยการถอดฉลองพระบาท และเสด็จเยี่ยมชมด้านในโดยเริ่มจากบริเวณส่วนของห้องนอนของมหาบุรุษแห่งอินเดียก่อน จนมาจบที่บริเวณสวนซึ่งเป็นสถานที่มหาตมะคานธีถูกลอบสังหารในปี 1948
เดลีเมล์รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงเข้าสักการะอนุสรณ์สถานของมหาบุรุษแล้ว ทั้งเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคททรงรับฟังวงประสานเสียงของเด็กนักเรียนอินเดียในพื้นที่
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามทั้งสองพระองค์ได้เปิดเผยว่า ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ทรงปีติที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของบิดาแห่งอินเดียในสถานที่ซึ่งมหาบุรุษแห่งขันติได้ใช้ชีวิตในช่วงไม่กี่ปีก่อนที่จะเสียชีวิต
และในการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มหาตมะคานธีนี้ เจ้าหญิงเคทได้ทรงตรัสถามถึงความสำคัญของอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นรูปมหาตมะคานธียืนท่ามกลางระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย โดยดิปันเกอร์ ชริกยัน (Dipanker Shrigyan) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ได้รายงานถวายว่า “เด็กผู้หญิงที่กำลังถือดอกไม้แสดงถึง “ความหวัง” ส่วนเด็กชายที่กำลังกอดห่านแสดงถึง “สันติภาพ” ”
นอกจากนี้ ในการเสด็จเยื่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้มีการจัดแสดงการปั่นฝ้ายด้วยมือตามแบบที่มหาบุรุษได้เคยกระทำในขณะที่อาศัยอยู่ในบ้านเบอร์ลาที่ผู้แสดงการปั่นฝ้ายคือมิฮิล ลาล (Mihil Lal) ชายชาวอินเดียวัย 65 ปีให้กับทั้งสองพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตร
สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมต่อว่า และหลังจากนั้นทั้งเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคทได้เสด็จพระดำเนินด้วยเครื่องบินพระที่นั่งแบบเช่าเหมาลำไปยังเมืองศูนย์กลางการเงินและเศรษฐกิจของอินเดีย เมืองมุมไบเพื่อร่วมงานอีเวนต์ธุรกิจที่คาดว่าสถานทูตอังกฤษประจำกรุงนิวเดลีเป็นผู้จัดภายใต้ชื่องาน Great Britain For The Collaboration ระหว่างอินเดียและอังกฤษ
โดยในงานนี้ทั้งดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ได้ทรงพบปะนักธุรกิจนักลงทุนและนักอุตสาหกรรมคนสำคัญของอินเดีย
และเดลีเมล์รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียมยังทรงได้มีโอกาสร่วมชิมขนมอินเดีย “โดซา” ที่ผลิตมาจากเครื่องอัตโนมัติที่มีบริษัทสัญชาติอินเดียจากเมืองบังกาลอร์เป็นผู้ค้นคิดขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเจ้าหญิงเคททรงปฏิเสธไม่ลิ้มลองรส ซึ่งเจ้าชายวิลเลียมทรงกล่าวอุทานว่า “อร่อย” หลังจากที่ทรงได้เสวยขนมชนิดนี้ที่มีลักษณะคล้ายกับเครปแล้ว