รอยเตอร์ - โฟล์คสวาเกน มีแผนปรับลดพนักงานออฟฟิศ 3,000 อัตราในเยอรมนีในช่วงสิ้นปี 2017 และหยุดผลิตรถยนต์รุ่นไม่ทำรายได้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่แห่งนี้มุ่งมั่นจะชดเชยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวโกงการทดสอบมลพิษ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี (10 มี.ค.)
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปกำลังตัดลดการลงทุนอีก 1,000 ล้านยูโร (1,100ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2016 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีเป้าหมายยกเลิกตำแหน่งงานชั่วคราวหลายร้อยอัตราและหยุดผลิตรถยนต์หลายรุ่นที่ไม่ทำรายได้ ในความพยายามลดต้นทุนตามหลังวิกฤตเรื่องอื้อฉาว
โฟล์คสวาเกนมีคนงานราว 120,000 คนตามโรงงานต่างๆ ทางตะวันตกของเยอรมนีและในแผนกการเงินของบริษัท โดย 1 ใน 3 เป็นลูกจ้างเหล่านี้เป็นพนักงานประจำสำนักงาน
แหล่งข่าวของรอยเตอร์ไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างเจาะจงเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่จะถูกปรับลด แต่คำกล่าวอ้างนี้สอดคล้องกับการนำเสนอข่าวของ DPA สื่อมวลชนเยอรมนีซึ่งเป็นสำนักข่าวแห่งแรกที่รายงานข่าวนี้
โฆษกของโฟล์คสวาเกนรายหนึ่งระบุว่า “แบรนด์โฟล์คสวาเกน ริเริ่มเสนอโปรแกรมประสิทธิภาพที่ส่งผลทุกภาคส่วน ในนั้นรวมถึงต้นทุนทางบุคลากร” พร้อมระบุว่าการลดค่าใช้จ่ายสามารถดำเนินการผ่านการลดสัญญาจ้างงานชั่วคราว เติมเต็มตำแหน่งงานว่างด้วยบุคคลภายในและจ้างงานเล็กน้อย
ข่าวคราวดังกล่าวมีออกมาไม่นาน หลังจากนายไมเคิล ฮอร์น หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของโฟล์คสวาเกน อเมริกา ได้ลาออกจากตำแหน่งในวันเดียวกัน (10 มี.ค.) เกือบ 6 เดือนหลังจากโฟล์คสวาเก้นยอมรับว่าติดตั้งซอฟต์แวร์โกงการทดสอบมลพิษในรถดีเซล 580,000 คันในสหรัฐฯ
โฟล์คสวาเกนระบุในถ้อยแถลงว่า นายฮอร์นซึ่งดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโฟล์คสวาเกน อเมริกามาตั้งแต่ปี 2014 ได้ลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมพร้อมใจและมีผลในทันที
ส่วนผู้ที่จะรักษาการตำแหน่งของนายฮอร์น คือ นายฮินริช เจ โวบช์เกน ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าภูมิภาคอเมริกาเหนือและประธานโฟล์คสวาเก้น กรุ๊ป ออฟ อเมริกา อิงก์ เมื่อเดือนมกราคม ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป
การลาออกของนายฮอร์นเกิดขึ้นขณะที่โฟล์คสวาเกนพยายามเจรจากับรัฐแคลิฟอร์เนีย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือซื้อคืนรถยนต์ดีเซล ที่ปล่อยค่ามลพิษสูงกว่าระดับที่กฎหมายกำหนดถึง 40 เท่า ทั้งนี้ในวันที่ 24 มีนาคม คือเส้นตายที่ทางบริษัทต้องแจ้งให้ศาลรัฐบาลกลางทราบว่ามีวิธีซ่อมแซมที่พอจะยอมรับได้หรือไม่
