(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Economic monitor: Cambodia’s fleeting financial limelight gamble
BY GARY KLEIMAN
09/02/2016
ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา กำลังจะเข้าร่วมการประชุมซัมมิตระหว่างเหล่าผู้นำของสมาคมอาเซียนกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ที่แคลิฟอร์เนียในสัปดาห์หน้า สภาพเศรษฐกิจของกัมพูชาซึ่งพึ่งพาอาศัยจีนเป็นอย่างมาก ปรากฏอาการที่ย่ำแย่เลวร้ายหลายๆ ประการ โดยที่วอชิงตันเพ่งเล็งจับจ้องจุดอ่อนแอนี้ด้วยความสนใจยิ่ง
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคร์รี (John Kerry) เดินทางไปกัมพูชาและลาวเมื่อตอนปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับเป็นการไปเยือนระดับทวิภาคีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอเมริกันซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก ทั้งนี้จุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของเคร์รีก็คือ เพื่อเตรียมการสำหรับการที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมซัมมิตสหรัฐฯ-สมาคมอาเซียน ที่ ซันนีแลนด์ส (Sunnylands), แคลิฟอร์เนีย ในช่วงต่อไปของเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทว่าเขาประสบความล้มเหลวเมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา ประกาศเข้าข้างใดข้างหนึ่งในกรณีพิพาทช่วงชิงดินแดนทะเลจีนใต้ สืบเนื่องจากฮุนเซนต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือและความผูกพันทางเศรษฐกิจกับจีนแผ่นดินใหญ่มากมายเหลือเกิน
การที่จีนนำเข้าสินค้ากัมพูชาลดลงรวมทั้งการท่องเที่ยวก็ชะลอตัว เหล่านี้อาจส่งผลให้อัตราเติบโตของจีดีพีกัมพูชาอยู่ในระดับต่ำว่า 7% เป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลาหลายๆ ปี อีกทั้งเพิ่มพูนความไร้เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบการธนาคารยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่แบงก์ชาติกัมพูชาพยายามที่จะบริหารจัดการกับการเหวี่ยงตัวรุนแรงของค่าเงินเรียล และการที่สินเชื่อขยายตัวอย่างน่ากลัวในอัตราปีละ 30% ทั้งนี้ตามรายงานคาดการณ์ประจำปี 2016 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ทางด้านภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างคนงานจำนวนราว 650,000 คน ก็กำลังตกอยู่ใต้แรงบีบคั้นในเรื่องค่าจ้างและเงื่อนไขด้านแรงงาน ส่วนอุตสาหกรรมการพนันก็อาจจะต้องเผชิญภาวะหยุดชะงักแบบที่เกิดขึ้นกับมาเก๊า สืบเนื่องจากการรณรงค์ของทางการปักกิ่งซึ่งมุ่งต่อต้านปราบปรามการฟอกเงินและการอวดมั่งอวดมี
ด้านการเมืองของกัมพูชา ก็หวนกลับเข้าสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายอีกคำรบหนึ่งภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2013 ที่ก่อให้เกิดการพิพาทโต้แย้งกันมาก โดยที่เมื่อเร็วๆ นี้พรรครัฐบาลได้ออกเสียงสนับสนุนให้เพิกถอนความคุ้มกันในฐานะที่เป็นสมาชิกรัฐสภาของ สม รังสี (Sam Rainsy) หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และเดินหน้าเคลื่อนไหวให้มีการจับกุมเขาในข้อหาหมิ่นประมาท ขณะเดียวกันการประท้วงยังคงปะทุขึ้นไม่ขาดสายจากกรณีการแย่งยึดที่ดินชาวบ้าน และกลุ่มเฝ้าจับตาซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ชื่อ “ศูนย์เพื่อความซื่อสัตย์ทางการเงินทั่วโลก” (Center for Global Financial Integrity) จัดให้กัมพูชาติดอันดับท็อปสำหรับการฉ้อโกงทางการค้าด้วยการออกใบแจ้งราคาไม่ถูกต้อง โดยพฤติการณ์เช่นนี้กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินออกไปอย่างผิดกฎหมาย 4,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2013
ณ การประชุมซัมมิตซันนีแลนด์ส ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ววันนี้ นายกรัฐมนตรีฮุนเซนอาจร้องวอนขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ หลังจากที่ได้เคยตีตราเรียกพวกชาติตะวันตกว่า “ขี้เหนียว” เรื่อยมา ทว่าด้วยประวัติผลงานอันย่ำแย่ของเขาทั้งทางด้านประชาธิปไตยและทางด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันภายหลังจากเข้าปกครองประเทศมาแล้ว 30 ปี ก็น่าที่จะเชื้อเชิญให้เขาถูกติเตียนประณาม
ด้วยความช่วยเหลือในรูปเงินบริจาคปีละร่วมๆ 1,000 ล้านดอลลาร์ ความยากจนในกัมพูชาได้ลดลงไปประมาณหนึ่งในสี่จากระดับของเมื่อ 1 ทศวรรษที่แล้ว โดยมาอยู่ที่ 15% อย่างไรก็ตาม ระบบราชการอันไร้ประสิทธิภาพที่แผ่อิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้ประเทศนี้ไม่มีคะแนนกระเตื้องขึ้นเลยในดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Index of Economic Freedom) ของมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยหมวดที่ได้แต้มต่ำที่สุดคือด้านหลักนิติธรรมและสิทธิในทรัพย์สิน ทั้งนี้รายงานของมูลนิธิเฮอริเทจระบุว่า ขณะที่กัมพูชาได้คะแนน จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งในภาคการท่องเที่ยว, การก่อสร้าง, และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมักอยู่ภายในบรรดาพื้นที่พิเศษรอบๆ เมืองหลวงพนมเปญ และจังหวัดศูนย์รวมของปราสาทโบราณสถานอย่างจังหวัดเสียมเรียบ แต่ก็เสียคะแนนไปพอๆ กันจากการขาดไร้อิสรภาพพื้นฐานต่างๆ ในทางธุรกิจ
อันที่จริง เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าเหล่านี้เป็นของจำเป็นมากสำหรับกัมพูชา ทั้งเพื่ออุดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งอยู่ในระดับมากกว่า 10% ของจีดีพี ตลอดจนเพื่อนำมาเติมส่วนที่ยังขาดในการก่อสร้างพวกโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรัฐบาลวางแผนตั้งงบประมาณเอาไว้ 1,500 ล้านดอลลาร์สำหรับการใช้จ่ายเรื่องนี้ไปจนถึงปี 2018 นอกจากนั้นกัมพูชายังสมัครเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกผู้ก่อตั้งของธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (เอไอไอบี) ที่มีจีนเป็นตัวตั้งตัวตี ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหาทางเข้าถึงเงินทุนซึ่งจะนำมาใช้พัฒนาทางด้านพลังงาน, น้ำ, ถนน, และการสื่อสารโทรคมนาคม ตามที่โครงการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong sub-region development) ถือว่ามีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ภายหลังจากที่จวบจนถึงเวลานี้กัมพูชายังไม่สามารถดึงดูดเงินทุนดังกล่าว ผ่านช่องทางทั้งที่เป็นทางการและที่เป็นช่องทางภาคเอกชน ทั้งนี้ผู้ประกอบการสถานกาสิโนรายสำคัญที่สุดของกัมพูชา ได้แก่บริษัทนากาคอร์ป (NagaCorp) ซึ่งมีฐานอยู่ในฮ่องกง ก็กำลังวางเดิมพันเอาไว้กับการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ด้วยความหวังว่าจะช่วยส่งเสริมเพิ่มพูนการติดต่อสัญจรภายในประเทศและการติดต่อสัญจรข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศไทยและเวียดนาม
นากา เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง และได้แสดงบทบาทเป็นหุ้นตัวแทนของกัมพูชาในสายตาของนักลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นท้องถิ่นของกัมพูชาเองซึ่งเปิดขึ้นมาในปี 2011 ด้วยความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้นั้น เวลานี้มีบริษัทจดทะเบียนอยู่เพียงแค่ 3 ราย ทั้งนี้กิจการท่าเรือพนมเปญซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ คือบริษัทจดทะเบียนแห่งล่าสุดที่เข้าซื้อขายในตลาดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ภายหลังนำเอาหุ้นจำนวน 20% ของตนออกมาเสนอขายต่อประชาชน สำหรับหุ้นอื่นๆ อีก 2 ตัว ได้แก่ รัฐวิสาหกิจด้านประปา และบริษัทสิ่งทอที่เจ้าของเป็นคนไต้หวัน ทั้ง 2 แห่งต่างถูกมองว่ามีความเคลื่อนไหวไม่คึกคักเท่าที่ควร ขณะเดียวกันพวกนักลงทุนก็จะมองเมินถอยหนีพวกกิจการธนาคารซึ่งทำท่าจะเข้าตลาด ภายหลังจากตลาดสินเชื่อในกัมพูชาเติบโตอย่างไม่น่าไว้วางใจในอัตราตัวเลขสองหลักมาเป็นเวลาหลายๆ ปี ตามรายงานของไอเอ็มเอฟระบุว่า พวกผู้คุมกฎในกัมพูชากำลังพยายามให้ธนาคารต่างๆ ลดธุรกรรมที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ซึ่งเวลานี้มีอยู่สูงลิ่ว รวมทั้งลดสัดส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขา เนื่องจากอัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝาก (loan-to-deposit ratios) ของธนาคารถึงสิบกว่าแห่งทีเดียวอยู่ในระดับเกิน 200% และ “ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ” ทั้งนี้ได้มีการสั่งเพิ่มการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไปแล้ว อีกทั้งกำลังพิจารณาที่จะใช้มาตรการด้านการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินอย่างอื่นๆ เป็นต้นว่าการปราบปรามพวกผู้ให้กู้แก่ลูกค้ารายย่อย ซึ่งมักมีขนาดกิจการใหญ่โตกว่าแบงก์พาณิชย์ขนาดกลางเสียอีก ดังที่สะท้อนให้เห็นจากกรณีที่มีคนไทยทุ่มเงิน 150 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมกราคม เพื่อเข้าเทคโอเวอร์กิจการชั้นนำทางด้านนี้แห่งหนึ่ง โดยที่มุ่งหวังจะใช้กิจการดังกล่าวเป็นสปริงบอร์ดกระโดดเข้าไปยังประเทศลาวด้วย
การก่อสร้างเฟื่องฟูมากในเมืองหลวงของลาว
นครเวียงจันทร์กำลังมีการก่อสร้างกันอย่างคึกคักเฟื่องฟูยิ่ง เพื่อต้อนรับการประชุมสุดยอดของอาเซียนซึ่งจะจัดขึ้นในลาวอีกครั้งหนึ่งในช่วงต่อไปของปีนี้ ขณะที่รายงานของไอเอ็มเอฟระบุว่า พวกธนาคารของรัฐกำลังตกอยู่ในฐานะย่ำแย่ เนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้น อยู่ในระดับเท่ากับเกือบ 10% ของสินเชื่อทั้งหมด อัตราส่วนหนี้ภาคสาธารณะต่อจีดีพี ก็อยู่ที่ 60% อันเป็นพื้นที่ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศก็ลดต่ำจนมีปริมาณเพียงเท่ากับยอดนำเข้า 1 เดือนเท่านั้น ในทางด้านการเมือง ก็มีผู้นำวัย 75 ปีที่เคยผ่านศึกสงครามการปฏิวัติอีกคนหนึ่ง ได้เลื่อนขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งมุ่งหมายที่จะหลุดออกจากฐานะการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (least developed) ให้ได้ภายในปี 2020
อย่างไรก็ตาม ลาวที่ประกาศตัวว่าจะเป็น “แบตเตอรีแห่งเอเชีย” ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยการส่งออกไฟฟ้าพลังน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ไปยังจีนและไทยนั้น ก็เหมือนๆ กับกัมพูชาตรงที่กำลังมุ่งหวังใช้ความพยายามกลับไปมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจอันน่าตื่นใจอีกครั้ง ทว่าในความเห็นของผู้เขียนแล้ว เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีคณะผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่ และมีการปรับโครงสร้างภาคการเงินอย่างขนานใหญ่เท่านั้น
แกรี่ เอ็น. เคลแมน เป็นผู้ชำนาญการเรื่องตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ และเป็นผู้บริหารบริษัทเคลแมน อินเตอร์เนชั่นแนล (Kleiman International) ในกรุงวอชิงตัน
Economic monitor: Cambodia’s fleeting financial limelight gamble
BY GARY KLEIMAN
09/02/2016
ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา กำลังจะเข้าร่วมการประชุมซัมมิตระหว่างเหล่าผู้นำของสมาคมอาเซียนกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ที่แคลิฟอร์เนียในสัปดาห์หน้า สภาพเศรษฐกิจของกัมพูชาซึ่งพึ่งพาอาศัยจีนเป็นอย่างมาก ปรากฏอาการที่ย่ำแย่เลวร้ายหลายๆ ประการ โดยที่วอชิงตันเพ่งเล็งจับจ้องจุดอ่อนแอนี้ด้วยความสนใจยิ่ง
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคร์รี (John Kerry) เดินทางไปกัมพูชาและลาวเมื่อตอนปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับเป็นการไปเยือนระดับทวิภาคีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอเมริกันซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก ทั้งนี้จุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของเคร์รีก็คือ เพื่อเตรียมการสำหรับการที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมซัมมิตสหรัฐฯ-สมาคมอาเซียน ที่ ซันนีแลนด์ส (Sunnylands), แคลิฟอร์เนีย ในช่วงต่อไปของเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทว่าเขาประสบความล้มเหลวเมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา ประกาศเข้าข้างใดข้างหนึ่งในกรณีพิพาทช่วงชิงดินแดนทะเลจีนใต้ สืบเนื่องจากฮุนเซนต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือและความผูกพันทางเศรษฐกิจกับจีนแผ่นดินใหญ่มากมายเหลือเกิน
การที่จีนนำเข้าสินค้ากัมพูชาลดลงรวมทั้งการท่องเที่ยวก็ชะลอตัว เหล่านี้อาจส่งผลให้อัตราเติบโตของจีดีพีกัมพูชาอยู่ในระดับต่ำว่า 7% เป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลาหลายๆ ปี อีกทั้งเพิ่มพูนความไร้เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบการธนาคารยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่แบงก์ชาติกัมพูชาพยายามที่จะบริหารจัดการกับการเหวี่ยงตัวรุนแรงของค่าเงินเรียล และการที่สินเชื่อขยายตัวอย่างน่ากลัวในอัตราปีละ 30% ทั้งนี้ตามรายงานคาดการณ์ประจำปี 2016 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ทางด้านภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างคนงานจำนวนราว 650,000 คน ก็กำลังตกอยู่ใต้แรงบีบคั้นในเรื่องค่าจ้างและเงื่อนไขด้านแรงงาน ส่วนอุตสาหกรรมการพนันก็อาจจะต้องเผชิญภาวะหยุดชะงักแบบที่เกิดขึ้นกับมาเก๊า สืบเนื่องจากการรณรงค์ของทางการปักกิ่งซึ่งมุ่งต่อต้านปราบปรามการฟอกเงินและการอวดมั่งอวดมี
ด้านการเมืองของกัมพูชา ก็หวนกลับเข้าสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายอีกคำรบหนึ่งภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2013 ที่ก่อให้เกิดการพิพาทโต้แย้งกันมาก โดยที่เมื่อเร็วๆ นี้พรรครัฐบาลได้ออกเสียงสนับสนุนให้เพิกถอนความคุ้มกันในฐานะที่เป็นสมาชิกรัฐสภาของ สม รังสี (Sam Rainsy) หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และเดินหน้าเคลื่อนไหวให้มีการจับกุมเขาในข้อหาหมิ่นประมาท ขณะเดียวกันการประท้วงยังคงปะทุขึ้นไม่ขาดสายจากกรณีการแย่งยึดที่ดินชาวบ้าน และกลุ่มเฝ้าจับตาซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ชื่อ “ศูนย์เพื่อความซื่อสัตย์ทางการเงินทั่วโลก” (Center for Global Financial Integrity) จัดให้กัมพูชาติดอันดับท็อปสำหรับการฉ้อโกงทางการค้าด้วยการออกใบแจ้งราคาไม่ถูกต้อง โดยพฤติการณ์เช่นนี้กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินออกไปอย่างผิดกฎหมาย 4,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2013
ณ การประชุมซัมมิตซันนีแลนด์ส ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ววันนี้ นายกรัฐมนตรีฮุนเซนอาจร้องวอนขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ หลังจากที่ได้เคยตีตราเรียกพวกชาติตะวันตกว่า “ขี้เหนียว” เรื่อยมา ทว่าด้วยประวัติผลงานอันย่ำแย่ของเขาทั้งทางด้านประชาธิปไตยและทางด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันภายหลังจากเข้าปกครองประเทศมาแล้ว 30 ปี ก็น่าที่จะเชื้อเชิญให้เขาถูกติเตียนประณาม
ด้วยความช่วยเหลือในรูปเงินบริจาคปีละร่วมๆ 1,000 ล้านดอลลาร์ ความยากจนในกัมพูชาได้ลดลงไปประมาณหนึ่งในสี่จากระดับของเมื่อ 1 ทศวรรษที่แล้ว โดยมาอยู่ที่ 15% อย่างไรก็ตาม ระบบราชการอันไร้ประสิทธิภาพที่แผ่อิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้ประเทศนี้ไม่มีคะแนนกระเตื้องขึ้นเลยในดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Index of Economic Freedom) ของมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยหมวดที่ได้แต้มต่ำที่สุดคือด้านหลักนิติธรรมและสิทธิในทรัพย์สิน ทั้งนี้รายงานของมูลนิธิเฮอริเทจระบุว่า ขณะที่กัมพูชาได้คะแนน จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งในภาคการท่องเที่ยว, การก่อสร้าง, และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมักอยู่ภายในบรรดาพื้นที่พิเศษรอบๆ เมืองหลวงพนมเปญ และจังหวัดศูนย์รวมของปราสาทโบราณสถานอย่างจังหวัดเสียมเรียบ แต่ก็เสียคะแนนไปพอๆ กันจากการขาดไร้อิสรภาพพื้นฐานต่างๆ ในทางธุรกิจ
อันที่จริง เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าเหล่านี้เป็นของจำเป็นมากสำหรับกัมพูชา ทั้งเพื่ออุดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งอยู่ในระดับมากกว่า 10% ของจีดีพี ตลอดจนเพื่อนำมาเติมส่วนที่ยังขาดในการก่อสร้างพวกโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรัฐบาลวางแผนตั้งงบประมาณเอาไว้ 1,500 ล้านดอลลาร์สำหรับการใช้จ่ายเรื่องนี้ไปจนถึงปี 2018 นอกจากนั้นกัมพูชายังสมัครเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกผู้ก่อตั้งของธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (เอไอไอบี) ที่มีจีนเป็นตัวตั้งตัวตี ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหาทางเข้าถึงเงินทุนซึ่งจะนำมาใช้พัฒนาทางด้านพลังงาน, น้ำ, ถนน, และการสื่อสารโทรคมนาคม ตามที่โครงการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong sub-region development) ถือว่ามีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ภายหลังจากที่จวบจนถึงเวลานี้กัมพูชายังไม่สามารถดึงดูดเงินทุนดังกล่าว ผ่านช่องทางทั้งที่เป็นทางการและที่เป็นช่องทางภาคเอกชน ทั้งนี้ผู้ประกอบการสถานกาสิโนรายสำคัญที่สุดของกัมพูชา ได้แก่บริษัทนากาคอร์ป (NagaCorp) ซึ่งมีฐานอยู่ในฮ่องกง ก็กำลังวางเดิมพันเอาไว้กับการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ด้วยความหวังว่าจะช่วยส่งเสริมเพิ่มพูนการติดต่อสัญจรภายในประเทศและการติดต่อสัญจรข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศไทยและเวียดนาม
นากา เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง และได้แสดงบทบาทเป็นหุ้นตัวแทนของกัมพูชาในสายตาของนักลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นท้องถิ่นของกัมพูชาเองซึ่งเปิดขึ้นมาในปี 2011 ด้วยความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้นั้น เวลานี้มีบริษัทจดทะเบียนอยู่เพียงแค่ 3 ราย ทั้งนี้กิจการท่าเรือพนมเปญซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ คือบริษัทจดทะเบียนแห่งล่าสุดที่เข้าซื้อขายในตลาดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ภายหลังนำเอาหุ้นจำนวน 20% ของตนออกมาเสนอขายต่อประชาชน สำหรับหุ้นอื่นๆ อีก 2 ตัว ได้แก่ รัฐวิสาหกิจด้านประปา และบริษัทสิ่งทอที่เจ้าของเป็นคนไต้หวัน ทั้ง 2 แห่งต่างถูกมองว่ามีความเคลื่อนไหวไม่คึกคักเท่าที่ควร ขณะเดียวกันพวกนักลงทุนก็จะมองเมินถอยหนีพวกกิจการธนาคารซึ่งทำท่าจะเข้าตลาด ภายหลังจากตลาดสินเชื่อในกัมพูชาเติบโตอย่างไม่น่าไว้วางใจในอัตราตัวเลขสองหลักมาเป็นเวลาหลายๆ ปี ตามรายงานของไอเอ็มเอฟระบุว่า พวกผู้คุมกฎในกัมพูชากำลังพยายามให้ธนาคารต่างๆ ลดธุรกรรมที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ซึ่งเวลานี้มีอยู่สูงลิ่ว รวมทั้งลดสัดส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขา เนื่องจากอัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝาก (loan-to-deposit ratios) ของธนาคารถึงสิบกว่าแห่งทีเดียวอยู่ในระดับเกิน 200% และ “ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ” ทั้งนี้ได้มีการสั่งเพิ่มการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไปแล้ว อีกทั้งกำลังพิจารณาที่จะใช้มาตรการด้านการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินอย่างอื่นๆ เป็นต้นว่าการปราบปรามพวกผู้ให้กู้แก่ลูกค้ารายย่อย ซึ่งมักมีขนาดกิจการใหญ่โตกว่าแบงก์พาณิชย์ขนาดกลางเสียอีก ดังที่สะท้อนให้เห็นจากกรณีที่มีคนไทยทุ่มเงิน 150 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมกราคม เพื่อเข้าเทคโอเวอร์กิจการชั้นนำทางด้านนี้แห่งหนึ่ง โดยที่มุ่งหวังจะใช้กิจการดังกล่าวเป็นสปริงบอร์ดกระโดดเข้าไปยังประเทศลาวด้วย
การก่อสร้างเฟื่องฟูมากในเมืองหลวงของลาว
นครเวียงจันทร์กำลังมีการก่อสร้างกันอย่างคึกคักเฟื่องฟูยิ่ง เพื่อต้อนรับการประชุมสุดยอดของอาเซียนซึ่งจะจัดขึ้นในลาวอีกครั้งหนึ่งในช่วงต่อไปของปีนี้ ขณะที่รายงานของไอเอ็มเอฟระบุว่า พวกธนาคารของรัฐกำลังตกอยู่ในฐานะย่ำแย่ เนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้น อยู่ในระดับเท่ากับเกือบ 10% ของสินเชื่อทั้งหมด อัตราส่วนหนี้ภาคสาธารณะต่อจีดีพี ก็อยู่ที่ 60% อันเป็นพื้นที่ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศก็ลดต่ำจนมีปริมาณเพียงเท่ากับยอดนำเข้า 1 เดือนเท่านั้น ในทางด้านการเมือง ก็มีผู้นำวัย 75 ปีที่เคยผ่านศึกสงครามการปฏิวัติอีกคนหนึ่ง ได้เลื่อนขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งมุ่งหมายที่จะหลุดออกจากฐานะการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (least developed) ให้ได้ภายในปี 2020
อย่างไรก็ตาม ลาวที่ประกาศตัวว่าจะเป็น “แบตเตอรีแห่งเอเชีย” ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยการส่งออกไฟฟ้าพลังน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ไปยังจีนและไทยนั้น ก็เหมือนๆ กับกัมพูชาตรงที่กำลังมุ่งหวังใช้ความพยายามกลับไปมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจอันน่าตื่นใจอีกครั้ง ทว่าในความเห็นของผู้เขียนแล้ว เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีคณะผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่ และมีการปรับโครงสร้างภาคการเงินอย่างขนานใหญ่เท่านั้น
แกรี่ เอ็น. เคลแมน เป็นผู้ชำนาญการเรื่องตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ และเป็นผู้บริหารบริษัทเคลแมน อินเตอร์เนชั่นแนล (Kleiman International) ในกรุงวอชิงตัน