รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เมื่อวานนี้ (3 กพ.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เดินทางเยือนสถานประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิมเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 ปีของการดำรงตำแหน่งที่มัสยิดสังคมอิสลามแห่งบัลติมอร์ (Islamic Society of Baltimore mosque) ในเมืองคาตอนสวิล(Catonsville) รัฐแมรีแลนด์ ได้ประกาศสยบกระแสความกลัวมุสลิมที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อฮอลลีวูด รวมไปถึงภาพข่าว นอกจากนี้โอบามาในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ยังยืนยันว่าเยาวชนอเมริกันที่นับถือศาสนาอิสลามมีที่ยืนเสมอในสังคมที่แตกต่างของอเมริกา
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (4 ก.พ.) ว่า ในการเดินทางเยือนมัสยิดเป็นครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ในฐานะตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างความแปลกใจไปทั่ว จากการที่ในอดีตโอบามาเคยถูกการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกล่าวหาว่าเขานับถือศาสนาอิสลาม ถึงแม้ว่าโอบามาจะยืนยันมาตลอดว่าเป็นคริสเตียนก็ตาม และในการเยือนมัสยิดหนแรกครั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ไม่พลาดที่กล่าวมุขตลกถึงความเข้าใจผิดในครั้งนี้
โดยรอยเตอร์รายงานว่า โอบามาเดินทางไปเยือนมัสยิดสังคมอิสลามแห่งบัลติมอร์(Islamic Society of Baltimore mosque) ในเมืองคาตอนสวิล (Catonsville) รัฐแมรีแลนด์ ในวันพุธ (3) และได้ประกาศต่อหน้าชาวมุสลิมที่รวมตัวอยู่ในที่นั้นว่า การโจมตีศาสนาอิสลามก็เท่ากับว่าโจมตีศาสนาอื่นทั้งหมด และได้กล่าวโต้กับสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีกพรรครีพับลิกัน และนักการเมืองในฝั่งพรรครีพับลิกันได้ใช้วาทะการเมืองกล่าวโจมตีศาสนาอิสลามเพื่อเรียกคะแนนเสียง
“เราต้องเข้าใจว่าการใช้คำพูดโจมตีความศรัทธาในศาสนาหนึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการโจมตีศรัทธาในทุกศาสนาของเราทั้งหมด” โอบามาแถลงในระหว่างยืนอยู่ด้านนอกมัสยิดในเมืองคาตอนสวิล
ซึ่งในการแถลงของโอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่ามัสยิดสังคมอิสลามแห่งบัลติมอร์นี้ได้รับคำขู่ถึง 2 ครั้งต่อปี โอบามากล่าวต่อ “และเมื่อมีชุมชนศาสนาใดตกเป็นเป้า เราซึ่งเป็นคนที่เหลือมีหน้าที่ต้องออกมาพูด”
ที่ผ่านมาทรัมป์ได้เรียกร้องมาตรการให้ห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ หลังจากที่มีการระบุมือก่อการร้ายบุกยิงในศูนย์สันทนาการซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีผู้ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิตไป 14 ราย
และในการเยือนมัสยิดครั้งแรกของประธานาธิบดีผิวสีของสหรัฐฯ โอบามามีเป้าหมายเพื่อสยบกระแสความกลัวชาวมุสลิมที่แพร่กระจายในหมู่ชาวอเมริกันบางส่วน
รอยเตอร์รายงานว่า โอบามาทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของสถานที่ด้วยการถอดรองเท้าก่อนเดินเข้ามาในบริเวณห้องโถงกลางสำหรับประกอบพิธีทางศาสนา และเขาได้กล่าวว่า “หากคิดว่านี่เป็นโบสถ์ของเราในศาสนาคริสต์ หรือโบสถ์ในศาสนายิว หรือวัดในพุทธศาสนา ดังนั้นมัสยิดแห่งนี้ก็เหมือนเช่นกัน”
และรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า โอบามาในฐานะที่เป็นชาวคริสต์ ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมในอเมริกาโดยสรุป และยังได้กล่าวถึงหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งอเมริกา โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เคยเอ่ยถึงชาวมุสลิมเมื่อครั้งที่กล่าวถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนาของอเมริกา
“โทมัส เจฟเฟอร์สันถูกนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามพยายามทำให้ปั่นป่วนด้วยการกล่าวหาว่าเจฟเฟอร์สันเป็นมุสลิม ดังนั้นผมจึงไม่ใช่คนแรก” โอบามากล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เรียกเสียงหัวเราะจากชาวอเมริกันมุสลิมในมัสยิดแห่งนี้
และหลังจากนั้นผู้นำสหรัฐฯ ได้ขอให้ผู้ที่อยู่ในมัสยิดแห่งนี้ที่นั่งแถวหน้าซึ่งได้เคยเข้าร่วมรับใช้สหรัฐฯ ด้วยการสมัครเป็นทหารให้ยืนขึ้นในที่ประชุมแห่งนี้ ซึ่งในกลุ่มคนจำนวนนี้รวมไปถึง อิบติฮัจ มูฮัมหมัด (Ibtihaj Muhammad) โดยเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมฟันดาบอเมริกา ที่จะเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ คนแรกของโลกที่ร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกภายใต้ผ้าคลุมฮิญาบในปีนี้ที่ริโอโอลิมปิก
นอกจากนี้ โอบามายังกล่าวโทษไปถึงกระแสวัฒนธรรม Pop Culture ของอเมริกาที่สร้างภาพชาวมุสลิมในแง่ลบที่สร้างให้เป็นผู้ก่อการร้าย “รายการโทรทัศน์ของเราสมควรที่จะมีตัวละครเป็นชาวมุสลิมที่ไม่เกี่ยวพันกับความมั่นคงประเทศ”
และนอกจากนี้ ในการเยือนมัสยิดครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โอบามายังไม่พลาดที่จะต้องเอ่ยถึงกลุ่มก่อการร้าย IS ที่ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่าเป็นกลุ่มที่บิดเบือนคำสอนศาสนาอิสลาม โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้กระตุ้นให้ประชาชนอเมริกันทั่วไปที่นับถือศาสนาอิสลามแสดงถึงตัวตนของพวกคุณออกมา โดยใช้คำกล่าวของชาวคริสต์ที่ว่า “ขอให้แสงของคุณเปล่งประกาย”
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ตะโกนไปบอกกับกลุ่มเด็กจำนวนมากที่มุงดูการเยือนมัสยิดของเขาผ่านจอขนาดใหญ่ โดยโอบามาได้ให้กำลังใจเด็กเหล่านั้นว่า สักวันหนึ่งพวกเขาอาจจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
และโอบามายังฝากเตือนไปถึงเด็กเหล่านั้นด้วยว่า ไม่ให้ตกไปตามกระแสหลักที่กำหนดว่าชาวมุสลิมจำเป็นต้องเลือกระหว่างความศรัทธาในพระอัลเลาะห์กับความรักในประเทศบ้านเกิด “พวกเราทั้งหมดมีที่ยืนอยู่ที่นี่ ที่ตรงนี้” โอบามากล่าว และเสริมต่อว่า “พวกเราไม่ใช่มุสลิมหรือพลเมืองสหรัฐฯ แต่เป็นทั้งมุสลิมและพลเมืองสหรัฐฯ”