เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / MGR online – ทีมเฝ้าระวังข้อตกลงหยุดยิงในซูดานใต้ ออกโรงเรียกร้องในวันพุธ (13 ม.ค.) ให้คู่ขัดแย้งฝ่ายต่างๆ ยินยอมเปิดทางให้หน่วยงานบรรเทาทุกข์นานาชาติลำเลียงอาหารและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เข้าไปยังพื้นที่สู้รบก่อนที่ประชาชนเรือนหมื่นจะเสียชีวิตจากภาวะอดอยากขาดอาหาร
รายงานข่าวซึ่งอ้างเฟสตัส โมแก อดีตประธานาธิบดีของบอตสวานา ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการประเมินและเฝ้าระวังข้อตกลงหยุดยิงร่วมในซูดานใต้ (JMEC) ระบุว่า ในขณะนี้ ทีมช่วยเหลือนานาชาติยังคงต้องเผชิญกับ “ข้อจำกัด” และ“ความไม่ปลอดภัย” ในการลำเลียงอาหารและความช่วยเหลือฉุกเฉินเข้าไปช่วยเหลือประชาชนจำนวนหลายหมื่นคนในพื้นที่สู้รบ ที่กำลังสุ่มเสี่ยงต้องจบชีวิตจากภาวะอดอยากขาดแคลนอาหาร ท่ามกลางความล้มเหลวของผู้นำทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ ในการควบคุมกองกำลังของตนให้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
“ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏจะต้องสั่งการให้บรรดาแม่ทัพนายกองของตนในพื้นที่สู้รบ ช่วยรับประกันความปลอดภัยและให้ความร่วมมืออย่างไม่มีเงื่อนไขต่อองค์กรด้านมนุษยธรรมทั้งหลาย ในการลำเลียงความช่วยเหลือที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่สู้รบ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป” อดีตประธานาธิบดีของบอตสวานา กล่าว
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคม คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติออกโรงเตือนว่าชาวซูดานใต้ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย กำลังเผชิญความสุ่มเสี่ยงกับภาวะอดอยากขาดแคลนอาหารขั้นเลวร้าย โดยเฉพาะในหลายพื้นที่ของรัฐยูนิตี้ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศที่ยังคงมีการสู้รบระหว่างกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลกับนักรบฝ่ายกบฏ
ทั้งนี้ สงครามกลางเมืองในซูดานใต้เริ่มเปิดฉากขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 หลังจากที่ประธานาธิบดีซัลวา คิอีร์ กล่าวหาอดีตรองประธานาธิบดีรีค มาชาร์ ว่า วางแผนยึดอำนาจรัฐบาล เป็นเหตุให้เกิดการสู้รบระหว่างทหารรัฐบาลซูดานใต้ กับกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายกบฏที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นคน ขณะที่ชาวซูดานใต้อีกนับล้านชีวิต ต้องกลายสภาพเป็นผู้อพยพหนีภัยสงคราม