รอยเตอร์ – รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามสืบหาข้อมูลหลังจากที่มีรายงานว่าผู้สื่อข่าวอิสระชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งถูกจับเป็นตัวประกันในซีเรียและถูกขู่ประหารชีวิต โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวในวันนี้ (24)
ในสัปดาห์นี้องค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (อาร์เอสเอฟ) ซึ่งมีฐานในกรุงปารีสระบุว่า พวกเขาได้รับข้อมูลมาว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งที่จับตัวผู้สื่อข่าวชื่อ ยาสุดะ จุมเปย์ เป็นตัวประกันได้เริ่มนับถอยหลังสู่เส้นตายการจ่ายค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนแล้วและขู่ว่าจะประหารหรือขายเขาให้กับกลุ่มอื่นหากความต้องการของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง
อาร์เอสเอฟระบุในถ้อยแถลงบนเว็บไซต์ของตนว่า ยาสุดะถูกลักพาตัวเมื่อเดือนกรกฎาคมโดยกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ควบคุมของกลุ่มอัล-นุสราฟรอนท์ เครือข่ายของกลุ่มอัลกออิดะห์ ไม่นานหลังจากที่เข้าไปยังซีเรียเมื่อช่วงก่อนหน้าในเดือนนั้น
อาร์เอสเอฟเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อช่วยชีวิตยาสุดะ ขณะที่สุกะกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นทราบถึงกรณีดังกล่าวแล้วแต่ยังทราบว่าล่าสุดสถานการณ์เป็นอย่างไร
“ด้วยลักษณะของเรื่องนี้ ผมจึงอยากจะงดเว้นจากการแสดงความคิดเห็นเรื่องรายละเอียด” เขาบอกกับในการแถลงข่าวตามระเบียบ
“ความปลอดภัยของพลเมืองเราคือความรับผิดชอบสำคัญของรัฐบาล ดังนั้นเราจึงกำลังพยายามทุกวิถีทางและใช้เครือข่ายข้อมูลอันหลากหลายให้เกิดประโยชน์สูงสุด” สุกะ กล่าว
เมื่อช่วงก่อนหน้าในปีนี้กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ตัดศีรษะชาวญี่ปุ่น 2 คน คนหนึ่งเป็นจ้าของบริษัทรับจ้างรักษาความปลอดภัยเอกชนและอีกคนเป็นนักข่าวสงคราม การประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยมครั้งนั้นตกเป็นเป้าความสนใจของชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ แต่รัฐบาลระบุในตอนนั้นว่าจะไม่เจรจากับกลุ่มไอเอสเพื่อขอปล่อยตัวพวกเขา
เซอิโกะ โนดะ สมาชิกสภานิติบัญญัติอาวุโสของพรรครัฐบาล บอกกับรอยเตอร์ในสัปดาห์นี้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการป้องกันประเทศของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่จะทำให้กองทัพไปสู้รบในต่างแดนได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1945 อาจถูกกลุ่มติดอาวุธใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีแดนอาทิตย์อุทัย
โนดะต้องการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นหลังจากวาระการดำรงตำแหน่งของอาเบะหมดลง
กฎหมายที่ถูกประกาศใช้ในเดือนกันยายนจะทำให้กองกำลังญี่ปุ่นสามารถช่วยเหลือมิตรประเทศเช่น สหรัฐฯ ที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตีในกรอบการตีความรัฐธรรมนูญใหม่ของคณะบริหารอาเบะ การป้องกันตนเองร่วมเช่นนี้ถูกห้ามโดยรัฐบาลชุดก่อนๆ ในฐานะการละเมิดรัฐธรรมนูญฉบับหลังสงคราม