เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / MGR online – มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายในวันจันทร์ (21 ธ.ค.) หลังเกิดเหตุโจมตีโดยนักรบของกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “อัล-เชบับ” จากโซมาเลีย ต่อเป้าหมายที่เป็นรถบัสโดยสารคันหนึ่งทางภาคเหนือของเคนยา
คำแถลงของกระทรวงมหาดไทยเคนยาระบุว่า รถบัสโดยสารคันดังกล่าวถูกโจมตี ขณะกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองมานเดรา ห่างจากกรุงไนโรบีที่เป็นเมืองหลวงของประเทศไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยช่วงที่เกิดการนองเลือด คือ ตอนที่รถบัสโดยสารแล่นมาถึงเมืองเอลวัค ที่อยู่ห่างจากเมืองมานเดราไปทางใต้ราว 150 กิโลเมตรและอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนของโซมาเลีย
นอกเหนือจากผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนอย่างน้อย 2 รายจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วยังมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 6 ราย หลังจากที่นักรบกลุ่มอัล-เชบับซึ่งดักซุ่มอยู่ในพื้นที่ ได้ตรงเข้าสกัดรถบัส และสั่งให้ผู้โดยสารทั้งหมดลงจากรถบัสคันดังกล่าว ก่อนจะสั่งให้ผู้โดยสารที่เป็น “ชาวมุสลิม” แยกตัวออกมาจาก “ชาวคริสต์” เพื่อที่พวกตนจะได้ลงมือสังหารแต่เฉพาะชาวคริสต์เท่านั้น แต่ทว่าคำขอนี้ของสมาชิกกลุ่มสุดโต่งดังกล่าวจากโซมาเลียกลับถูกปฏิเสธ โดยที่เหล่าผู้โดยสารทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิมต่างพร้อมใจยืนหยัด “เผชิญความตายร่วมกัน”
จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายจากเหตุการณ์นี้เป็นผู้นับถือศาสนาใด ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุว่า หนึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตจากการถูกนักรบกลุ่มอัล-เชบับสังหารในครั้งนี้อาจเป็นคนขับรถบรรทุกเคราะห์ร้ายรายหนึ่งที่บังเอิญขับรถผ่านมาบริเวณจุดเกิดเหตุพอดี
ด้านโจเซฟ เอ็นไคส์เซรี รัฐมนตรีมหาดไทยเคนยาออกโรงยกย่องความกล้าหาญของเหล่าผู้โดยสารที่เป็นชาวมุสลิมบนรถบัสคันดังกล่าวที่ปฏิเสธแยกตัวออกจากกลุ่มผู้โดยสารที่เป็นชาวคริสต์ เพื่อช่วยไม่ให้บรรดา “เพื่อนร่วมชาติแต่ต่างศาสนา” ของตนถูกสังหารโดยพวกนักรบอิสลามิสต์อัล-เชบาบ
“นี่ถือเป็นการส่งข้อความเชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญยิ่งไปยังพวกสุดโต่ง เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าชาวเคนยาล้วนมีเอกภาพและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน และเราก็จะไม่ยอมก้มหัวให้กับกลุ่มก่อการร้ายที่มุ่งสร้างความหวาดกลัวและแตกแยก” รัฐมนตรีมหาดไทยของเคนยากล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในความเป็นจริงแล้วรถบัสโดยสารคันดังกล่าวมีรถยนต์ของตำรวจคันหนึ่งคอยติดตามคุ้มกันความปลอดภัยให้ แต่รถของตำรวจเกิดเสีย ก่อนจะเกิดเหตุสะเทือนขวัญนี้ไม่นาน
ก่อนหน้านี้เมื่อ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพิ่งเปิดเผยว่าเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มติดอาวุธที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันในพื้นที่ภาคกลางของโซมาเลีย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 120 ราย ขณะที่ประชาชนอีกมากกว่า 90,000 ชีวิตต้องอพยพหนีตายออกนอกพื้นที่
รายงานข่าวระบุว่า การปะทะกันอย่างดุเดือดด้วยอาวุธหนักนานาชนิดที่นำมาซึ่งความสูญเสีย และก่อให้เกิดคลื่นผู้อพยพดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่เขตกาลคาโย ทางภาคกลางของโซมาเลีย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และเป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มติดอาวุธที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน 2 กลุ่ม จากเขต “พันต์แลนด์” และเขต “กาลมูดุก” ที่อยู่ใกล้เคียง โดยการสู้รบระหว่างกลุ่มติดอาวุธทั้งสองกลุ่มยังคงดำเนินต่อไปถึงแม้จะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อสัปดาห์ก่อน
ข้อมูลจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลโซมาเลียระบุว่า กลุ่มติดอาวุธทั้งสองกลุ่มต่างแยกตัวออกมาจากกลุ่มนักรบอิสลามิสต์อัล-เชบับ ที่มีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มรัฐบาลกลางโซมาเลียในกรุงโมกาดิชู ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดที่ได้รับการรับรองความชอบธรรมในการบริหารประเทศจากนานาชาติ
ด้านสำนักงานสหประชาชาติเพื่อการประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรม (OCHA) ออกคำแถลงระบุว่า สถานการณ์โดยทั่วไปในพื้นที่ภาคกลางของโซมาเลียยังคงอยู่ในภาวะที่เปราะบาง ถึงแม้จะเริ่มพบการถอนกำลังของกลุ่มติดอาวุธทั้งสองกลุ่มออกจากพื้นที่บ้างแล้วก็ตาม และว่าประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบที่เกิดขึ้น กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน